Tuesday 29 March 2011

เบต้าแคโรทีน ( Beta-carotene ) คือ


เบต้าแคโรทีน สารสีส้มเพื่อสุขภาพ
พญ.สุภาณี ศุกระฤกษ์

 

สุขภาพร่างกายของผู้คนในปัจจุบัน กำลังย่ำแย่ลงทุกขณะ ถึงเวลาที่ทุกคน ควรจะหันมาดูแลเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ คือ การรับประทานอาหารที่ให้ประโยชน์ แก่ร่างกายอย่างสมดุล เป็นประจำสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีการค้นพบอีกหนึ่งคุณค่าของสารอาหารธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย เป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ "เบต้าแคโรทีน" (Beta Carotene)

แหล่งของเบต้าแคโรทีน จะพบได้ในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือ แดง เพราะเบต้าแคโรทีน คือ ตัวการทำให้พืชผัก และผลไม้มีสีสรรดังกล่าว เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง เป็นต้น (เหตุที่มีสีเขียวเพราะสีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบัง)

เมื่อเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนให้เป็น วิตามินเอ โดยเอมไซม์ในลำไส้ ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ซึ่งปกติเบต้าแคโรทีน 6 หน่วย จะสามารถเปลี่ยน ให้เป็นวิตามินเอได้ 1 หน่วย เบต้าแคโรทีนนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณ อย่างมาก คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของ รังสีอัลตราไวโอเลต ที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของ เซลล์เยื่อบุตาขาว กระจกตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย

นอกจากประโยชน์มากมายที่กล่าวมาแล้ว เบต้าแคโรทีนยังเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ซึ่งคอยกำจัดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ก่อนที่มันจะไปทำปฏิกิริยา ทำลายส่วนประกอบต่าง ๆ จนทำให้เซลล์นั้นมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งในช่องปาก กล่องเสียง ตับ หรือกระเพาะอาหาร โรคเส้นเลือด หัวใจอุดตัน และโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ เป็นต้น

ความจริงแล้ว ในแต่ละวันเรามักได้รับเบต้าแคโรทีนจากอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเบต้าแคโรทีนจะถูกทำลายได้โดยง่าย จากความร้อนในการประกอบอาหารอีก ทั้งร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมเบต้าแคโรทีนไว้ได้เพียงร้อยละ 25-27 เท่านั้น จึงไม่เพียงพอที่จะสามารถป้องกันการเกิดของโรคมะเร็งได้ ดังนั้นสถาบันต่าง ๆ จึงได้ทำการแนะนำปริมาณเบต้าแคโรทีน ที่เราควรจะได้รับในแต่ละวันไว้ดังนี้



สถาบันแนะนำให้รับประทานเบต้าแคโรทีน/วัน
IU (หน่วยสากล)mg. (มิลลิกรัม)
สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา2,8865.2
สถาบันมะเร็งของสหรัฐอเมริกา3,3306
สำนักงานอาหารและยาแห่งประเทศไทย2,6644.8
Professor Antheny Dep Lock ชาวอังกฤษ8,32515



ดังนั้นในแต่ละวัน เราจึงควรรับประทานอาหารที่มีสารเบต้าแคโรทีนให้เพียงพอ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี อย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลในการป้องกันการแก่ก่อนวัย โรคมะเร็ง และต่อต้านโรคภัยต่าง ๆ ที่อาจจะมาเยี่ยมเยือน ทั้งยังทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และสดใสอยู่เสมออีกด้วย


พญ.สุภาณี ศุกระฤกษ์
อายุรแพทย์และแพทย์ผิวหนัง


ข้อมูลที่ 2



เบต้าแคโรทีน


เบต้าแคโรทีน (Betacarotene) คือสารที่ให้สีส้ม เหลือง หรือแดง ในพืชผักผลไม้ เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ มะม่วงสุก แตงโม แคนตาลูป มะละกอและผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น บรอคโคลี มะระ ต้นหอม ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักตำลึง เป็นต้น
(เหตุที่มีสีเขียวเพราะสีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบัง)

  • เบต้าแคโรทีน เป็นสารอาหารประเภทวิตามิน ที่มีคุณสมบัติละลายไขมันเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน เข้าไปในร่างกาย

  • เบต้าแคโรทีน จะถูกย่อยในกระเพาะ อาหารโดยน้ำดีที่ได้จากตับ แล้วดูดซึมผ่านผนังลำไส้ ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย

  • เมื่อเบต้าแคโรทีน เข้าสู่ร่างกายแล้วจะได้รับการเปลี่ยนให้เป็นวิตามิน เอ หรือ ที่เรียกกันว่าโปรวิตามิน เอ ในลำไส้ และตับ 

  • เบต้าแคโรทีน เป็นสารแคโรทีนนอยด์ ตัวหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็นสารตั้งต้นของ วิตามิน เอ เบต้าแคโรทีน ซึ่งมีโครงสร้างเป็น วิตามิน เอ สองตัวหันหางต่อกัน

แม้ร่างกายมนุษย์จะสามารถสร้าง วิตามิน เอ จากเบต้าแคโรทีน ไม่ได้หมายความว่า เบต้าแคโรทีน ทุกตัวจะเปลี่ยนเป็น วิตามิน เอ ได้


แม้เมื่อเปรียบเทียบกับ แคโรทีนนอยด์ตัวอื่น ๆ แล้ว เบต้าแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ ได้ดีที่สุด


คุณสมบัติที่สำคัญของเบต้าแคโรทีน คือ เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Anti-oxidant) สามารถจับตัวอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ก่อนที่อนุมูลอิสระจะไปทำปฏิกิริยา ทำลายส่วนประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ จนทำให้เซลล์นั้นถูกทำลายลง หรือมีการเจริญ เติบโตที่ผิดปกติ


อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด โรคต้อกระจก โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งเป็นเหตุของโรคหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองตีบ


ในแต่ละวัน เราสามารถได้รับเบต้าแคโรทีน จากอาหารอย่างเพียงพอ ถ้าเลือกรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เช่น แครอทขนาดใหญ่ (100 กรัม) 1 หัว ให้วิตามิน เอ สูงถึง 2 เท่า ของข้อ กำหนดมาตรฐานความต้องการของวิตามิน เอ ในแต่ละวัน


ดังนั้นสถาบันมะเร็งในหลาย ๆ แห่ง จึงได้ออกข้อเสนอแนะว่า ในแต่ละวัน ควรได้รับเบต้าแคโรทีน จากผักและผลไม้ในปริมาณ 5 - 6 มิลลิกรัม


ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีสารแคโรทีนนอยด์อื่น ๆ วิตามินซี และวิตามินอี อย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลในการป้องกันมะเร็งและต่อต้านโรคภัยต่าง ๆ ทั้งยังทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงสดใสอยู่เสมอ


* ข้อมูลจาก คอลัมน์ เรื่องน่ารู้ โดย อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช (นิตยสาร "รุ้ง")



ข้อมูลที่ 3

เบต้าแคโรทีน ( Beta-carotene ) เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ถูกค้นพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายอนุมูลอิสระ ได้อย่างดีเลิศ โดยพบว่าเบต้าแคโรทีน จะทำปฏิกิริยาต้านการเกิดอ๊อกซิเดชั่นระหว่างอนุมูลอิสระกับสารสำคัญในเซลล์ที่มีชีวิต โดยแย่งทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระเสียก่อน แล้วขับถ่ายออกไปตามระบบขับถ่ายต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ของเราก็รอดชีวิตจากขบวนการในการทำลาย โดยอนุมูลอิสระดังกล่าว เราเรียกขบวนการในการแย่งทำปฏิกิริยาของเบต้าแคโรทีน กับอนุมูลอิสระว่า การต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น หรือเอนตี้อ๊อกซิแด้น ( Antioxidants ) นั่นเอง

ประโยชน์ของเบต้าแคโรทีน( Usefulness of Beta-carotene )
จากที่หลายท่านได้รู้จักพิษร้ายของสารชนิดหนึ่งที่เราเรียกกันว่า อนุมูลอิสระ (Free Radicals)
ที่มีอยู่อย่างมากมายในร่างกายของเรา และมีทั้งชนิดที่ร่างกายของเราสร้างขึ้นเอง ได้แก่ สารของเสียจากขบวนการสันดาป ( Metabolism ) ต่างๆ ในตับ และอวัยวะต่างๆและชนิดที่ร่างกายได้รับจากภายนอก เช่น ก๊าซอ๊อกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป และเหลือเกินความจำเป็น สารจากมลภาวะ โลหะหนัก สีผสมอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราก็ทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว สารอนุมูลอิสระเหล่านี้ พบว่านอกจากจะทำให้เกิด ความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่ ความเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ไปจนกระทั่งถึงความเสื่อมของอวัยวะสำคัญภายใน อย่างเช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือดแล้ว เรายังพบว่า สารอนุมูลอิสระ เหล่านี้ ยังสามารถส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาในการกระตุ้น ให้เซลล์ปกติของเราเจริญเติบโตอย่างผิดปกติได้ หรือที่เราเรียกว่า เซลล์มะเร็งเนื้อร้าย ( Cancers ) นั่นเอง

ข้อมูลที่ 4


ผักผลไม้ที่มีสารเบต้าแคโรทีน สูง

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 
2. มะเขือเทศราชินี 
3. มะละกอสุก 
4. กล้วยไข่ 
5. มะม่วงยายกล่ำ 
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง 

8. มะยงชิด 
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก 
10. สับปะรดภูเก็ต

 ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ผลไม้ที่มีสีเขียวและสีเหลือง จะช่วยป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และมะเร็งปอดได้ ส่วนเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายนำไปใช้สร้างวิตามินเอนั้น จะช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ สาเหตุของโรคมะเร็ง สารชนิดนี้มีมากในพืชผักสีแดง เหลือง ส้ม หรือเขียวเข้ม เบต้าแคโรทีน มีอยู่มากในผักจำพวกผักใบเขียว และผลไม้ ที่มีสีเหลือง ส้ม หรือแดงส้ม เช่น ผักบุ้ง ตำลึง แครอท ฟักทอง มะลอกอสุก แอ๊ปเปิ้ล ซึ่งผักผลไม้เหล่านี้ยังให้กากใย มีผลดีต่อการกำจัดพิษที่คั่งค้างในร่างกายได้ด้วย

ผู้ที่ควรรับประทานเบต้าแคโรทีน ( Who should take Beta-carotene? ) 


1. ผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ ( Healthy skin concious )
เราพบว่าผิวพรรณของเราจะเป็นส่วนของร่างกายที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เราทราบว่าอนุมูลอิสระมีผลต่อเราแล้วหรือยัง ? ผิวพรรณที่เริ่มเหี่ยวย่น ไม่ผ่องใส ขาดความชุ่มชื่น หรือไม่มีน้ำมีนวล สิ่งเหล่านี้บอกได้แล้วว่าความเสื่อมได้เริ่มมาเยือนท่านแล้ว และถ้าปล่อยปละละเลยต่อไป ก็จะทำให้ยากต่อการเยียวยารักษา และอาจจะแสดงผลต่อเนื่องกับอวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ เส้นผม และ เล็บ ตามมาด้วยเช่นกันในกลุ่มสตรีที่นิยมรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พวกกรดไขมันจำเป็น กลุ่มโอเมก้า 3 หรือ โอเมก้า 6 อยู่เป็นประจำ เป็นระยะเวลานานๆ นั้น เราพบว่าอาจส่งผลให้เกิดขบวนการย่อยสลาย กรดไขมันในปริมาณสูง และพบว่าขบวนการดังกล่าว อาจส่งผลต่อเนื่องในเรื่องของกระแก่ จากปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นของเซลล์ แต่พบว่าหากรับประทานสารต้านการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นร่วมกัน ผลต่อเนื่องดังกล่าวก็จะไม่ปรากฏขึ้น นอกจากนี้ เรายังพบว่าเบต้าแคโรทีน ยังส่งผลให้เซลล์ผิวพรรณที่สร้างขึ้นใหม่มีสุขภาพดีขึ้นด้วย

2. ผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็ง ( Cancer concious )
อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า อนุมูลอิสระมีผลเกี่ยวข้องกับมะเร็งเนื้อร้าย ( Cancers ) การลดปริมาณอนุมูลอิสระ ก็จะเป็นการลดความเสี่ยงของมะเร็งนั่นเอง
นอกจากนี้เรายังพบว่า เบต้าแคโรทีน สามารถให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกาย ที่ชื่อ ทีเฮลเปอร์เซลล์ ( T-helper Cell ) ให้มีประสิทธิภาพการทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น จึงให้ผลดีกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งดังกล่าว

3. ผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพของดวงตา ( Healthy Eye Concious )
อย่างที่ทราบแล้วว่า เบต้าแคโรทีน เมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้ว จะได้วิตามิน เอ ซึ่ง>ร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอฟซิน ( Rhodopsin ) ในดวงตา ส่วนเรตินา ( Retina ) ทำให้เรามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และนอกจากนั้น เบต้าแคโรทีน ยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา 
( Eye ) และลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ( Cataracts ) ด้วย 

4. ผู้ที่ต้องการชลอความแก่ ( Anti-aging )
เบต้าแคโรทีน จะให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์ จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดขบวนการแก่ ดังนั้นหากเราลดสาเหตุดังกล่าวเสีย ความแก่ก็จะมาเยี่ยมเยือนเราได้ช้าลง
การรับประทานเบต้าแคโรทีนั้น หากต้องการรับประทานเพื่อบำรุงสุขภาพ ป้องกันความเสื่อม โดยทั่วไปสามารถทานได้ วันละ 4,000-5,000 IUs ( International Unit ) หากต้องการรับประทานเพื่อการรักษาภาวะความเสื่อมที่เป็นอยู่ สามารถทานได้ถึง 10,000-20,000 IUs ต่อวัน โดยให้อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด 


สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายจากเบตาแคโรทีน ขณะนี้ยังไม่พบ แม้จากการวิจัยพบว่าวิตามินเออาจเป็นพิษได้ถ้ารับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 25,000 หน่วยสากล(IU) ต่อวัน แต่ไม่พบว่าเบต้าแคโรทีนมีความเป็นพิษ เมื่อรับประทานในปริมาณสูง ส่วนการมีปฏิกิริยากับสารอื่นไม่พบรายงานว่ามีปฏิกิริยาของเบต้าแคโรทีนกับยาสมุนไพร รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ

สุขภาพร่างกายของผู้คนในปัจจุบัน กำลังย่ำแย่ลงทุกขณะ ถึงเวลาที่ทุกคน ควรจะหันมาดูแลเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ คือ การรับประทานอาหารที่ให้
ประโยชน์ แก่ร่างกายอย่างสมดุล เป็นประจำสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีการค้นพบอีกหนึ่งคุณค่าของสารอาหารธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย เป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ "เบต้าแคโรทีน" (Beta Carotene) 


ข้อมูลที่ 5

แหล่งของเบต้าแคโรทีน จะพบได้ในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือ แดง เพราะเบต้าแคโรทีน คือ ตัวการทำให้พืชผัก และผลไม้มีสีสรรดังกล่าว เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง เป็นต้น (เหตุที่มีสีเขียวเพราะสีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบัง) เมื่อเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนให้เป็น วิตามินเอ โดยเอมไซม์ในลำไส้ ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ซึ่งปกติเบต้าแคโรทีน 6 หน่วย จะสามารถเปลี่ยน ให้เป็นวิตามินเอได้ 1 หน่วย เบต้าแคโรทีนนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณ อย่างมาก คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของ รังสีอัลตราไวโอเลต ที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของ เซลล์เยื่อบุตาขาว กระจกตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย

No comments:

Post a Comment