Thursday 30 June 2011

ความรู้เรื่องอาหารผิว

อาหาร ผิวแต่ละชนิด มีคุณสมบัติ และข้อดีแตกต่างกันออกไป แต่การดูแลผิวพรรณให้สวย สดใส ไม่เกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

กลูตาไธโอน (Glutathione)
ประกอบด้วย Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน เมื่อร่างกายได้รับ Tyrosinase ในปริมาณที่เหมาะสมจะควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหน้าสวยขาวใส ไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ผิวใต้วงแขน ผิวบริเวณ Bikin สีผิวริมผีปากและผิวบริเวณหัวนม จะขาวอมชมพูขึ้น และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นสาร Detoxification เปลี่ยนสารพิษให้อยู่ในรูปที่ไม่เป็นพิษ เพื่อถ่ายทิ้งเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามิน C และ E และทำให้อยู่ในรูปที่ดูซึมได้เร็วขึ้นได้ใน ปลา เนื้อ Asparagus อะโวคาโด วอลนัท

ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนจากปลาทะเล (Hydrolized Marine Collagen)
เป็นโปรตีนจากปลาทะเล ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลเซท ด้วยเอนไซม์ โดยทำให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลง จึงได้คอลลาเจนในรูปแบบพิเศษ ซึ่งจะมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 1,000-5,000 ตัน จึงมีประสิทธิภาพสูงในกี่ดูดซึมสู่ชั้นผิวได้ทันที ซึ่งต่างจากคอลลาเจนโดยทั่วไปที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่อยู่ที่ 130,000 ดาลตัน ทำให้ดูดซึมสู่ชั้นผิวได้ยาก ประโยชน์ที่จะได้รับ
  • เสริมสร้างซ่อมแซมคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น
  • ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น จึงทำให้ผิวพรรณกระชับ เนียนใส เปล่งปลั่ง
  • ช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของชั้นผิว ส่งผลให้ผิวเต่งตึง ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
  • บำรุงรากผม และเล็บให้แข็งแรง

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
องค์ประกอบหลักของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น คือ OPC (Oilgmeric Proantocyannidins) ซึ่งสารสุขภาพที่อยู่ตามธรรมชาติ โดยจัดอยู่ในกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีความสูง
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน บำรุงผิวพรรณ ความยืดหยุ่น เรียบลื่น เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อ และกระดูกอ่อน
  • ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ โดยยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด
  • เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเส้นโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ผิวสดใส มีเลือดฝาด
  • บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน และการหมดประจำเดือน

โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)
เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย เป็นเสมือนแหล่งกำเนิดพลังงานให้กับเซลล์ล้านๆ เซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ที่มีความต้องการพลังงานสูง เช่น สมอง หัวใจ ตับ
  • มีฤทธิ์ต่อต้านการ oxidation ที่เข้มแข็ง ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน (Oxygen) ให้แก่เซลล์เยื่อต่างๆ
  • เป็นตัวร่วม (Co-factor) ในขบวนการหายใจระดับเซลล์ ทำให้มีพลังงานในรูปของ ATP (Adenosine Tri Phosphate) มากขึ้น
  • มีบทบาทสำคัญในการทำลายสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจแบบใช้ Oxygen ทำให้กล้ามเนื้อของนักกีฬาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ลดอาการล้าของกล้ามเนื้อจากสภาพที่มีกรดแลคติกในกล้ามเนื้อมากขึ้น
  • เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น

สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (Pycnogenol)
  • มีสารสำคัญคือ Pycnogenol และ OPC(Oilgmeric Proantocyannidins) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • ลดปริมาณการสร้างเม็ดสี (Melanin) ที่ผิดปกติ อันเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า โดยช่วยให้ความเข้มของรอยหมองคล้ำค่อยๆ ลดลง คืนความยืดหยุ่น เนียนสวย อย่างเป็นธรรมชาติ
  • เพิ่มความเข้มแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน บำรุงผิวพรรณ เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อ และกระดูกอ่อน

สารสกัดจากมะเขือเทศ (Lycopene)
เป็นสารสกัดจากมะเขือเทศ มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความผิดปกติและความเสื่อมของเซลล์

สารสกัดจากถั่วเหลือง (Isoflavons)
ไอโซฟลาโวนส์ เป็นสารที่พบในพืชตะกูลถั่วชนิดต่างๆ พบมากในทั่วเหลือง
  • มีลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่มีสาเหตุจากฮอร์โมนต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมาก
  • ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบเนื่องจากการหมดรอบเดือน

กรดอัลฟา-ไลโปอิก (Alfa Lipoic)
  • เป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายวิตามิน โดยทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่นๆ ให้เป็นพลังงาน จึงมีผลช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น
  • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง ช่วยปกป้องเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกายจากการเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน

เบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene)
  • พบมากในหัวแครอทหรือหัวผักกาดแดง
  • มีคุณสมบัติต้านปฎิกิริยา Oxidation ซึ่งจะมีผลทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่เสื่อมสภาพและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอความแก่จากการที่เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
  • ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดอันตรายจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย
  • กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

บิลเบอร์รี่ (Bilberry)
  • มีสารสำคัญคือ Anthocyanoside ซึ่งสามารถต้านปฎิกิริยา Oxidation ได้ดี ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะเซลล์ที่ผนังหลอดเลือด
  • ทำให้ระบบประสาทตาและการมองเห็นดีขึ้น
  • สาร Glucoquinine ในบิลเบอร์รี่ จะทำให้อินซูลิน ทำงานเผาผลาญน้ำตาลในเลือดขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • มีสาร Tanin ช่วยให้การฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว

ซีลีเนียม (Selenium)
  • เป็นสารป้องกันการเกิด Oxidation ชั้นเลิศ โดยกระตุ้นร่างกายให้สร้างเอ็นไซม์ กลูต้าไธโอน เปอร์อ๊อกซิเดส
  • ลดการเสื่อมของเซลล์ จึงมีผลในการช่วยชะลอความแก่ หรือกระแก่ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้
  • ลดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

ฮอร์สเทล (Horsetail)
  • มีสารสำคัญคือ ซิลินคอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนคอลลาเจน
  • ทำให้เซลล์ผิวหนังกระชับและแข็งแรงขึ้น
  • เพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม และเล็บ
  • มีฤทธิ์ในการฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ช่วงเร่งให้ผมขึ้นมาใหม่ ช่วยให้ความแข็งแรงแก่เส้นผม เพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นผม และยังทำให้เส้นผมที่แห้งกร้านกลับมีชีวิตชีวา

ชาเขียว (Green Tea)
  • มีสารสำคัญคือ EGCG ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดการตึงเครียดจากการงานหนัก
  • ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านของร่างกาย
  • มีคลอโรฟิลล์ที่ช่วยขับสารพิษต่างๆ จากร่างกาย ลดการเกิดมะเร็งจากสารพิษ
  • ช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อ และลดกลิ่นปากได้

ซิงค์ (Zinc)
  • ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างเอนไซม์ Super Oxide Dismutase ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดการอักเสบและการเกิดสิว พร้อมช่วยสมานผิวและลบเลือนริ้วรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวให้หายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียไป

วิตามินซี (Vitamin C)
  • เป็นวิตามินที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์
  • ช่วยให้ผิวพรรณยืดหยุ่น กระชับ บำรุงรักษาเหงือก ฟัน และกระดูกให้แข็งแรง
  • ลดอันตรายจากโลหะหนัก และสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม
  • ทำให้สุขภาพหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย ลดอัตราการติดเชื้อหวัด

วิตามินอี (Vitamin E)
  • เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ผิว
  • ลดการเกิด ไลโปฟุสซิน ที่ทำให้เกิดกระแก่ที่ผิวหนังได้
  • ช่วงเร่งให้ขบวนการสมานแผลในร่างกายเร็วขึ้น ลดการเกิดเนื่อเยื่อแผลเป็น ทำให้ร่างกายสร้างระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ทนทานต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้มาก
  • มีผลในด้านการลดระดับโคเลสเตอรอล

โดย : http://asianlife.igetweb.com

ชะลออายุด้วยอาหาร

โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
เมื่อคน เรามีอายุมากขึ้น คงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความชราไว้ได้ แต่วิธีที่จะช่วยชะลออายุได้ก็คือ การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด สุขภาพที่ดีมาจากร่างกายที่แข็งแรง และจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน

imageองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้มีสุขภาพดี ตามที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฯลฯ
ดังนั้นอาหารการกินจึงเป็นส่วนสำคัญ ที่จะกำหนดให้เราแก่ไปตามวัยที่ล่วงเลย หรือก่อนวัยอันสมควร ยิ่งเมื่อวิทยาการก้าวหน้า อาหารยิ่งถูกปรุงแต่งมากขึ้น จนแทบไม่เหลือคุณค่าของอาหารไว้ ปัจจุบันความคิดทางการแพทย์เก่า ๆ ที่ให้บริโภค เนื้อ นม ไข่ มาก ๆ จึงเริ่มเปลี่ยนไป และให้หันกลับมาสนใจอาหารธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตของคนสมัยก่อนแทน
หลัก 10 ประการของการบริโภคอาหารต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่านชะลออายุไว้ได้
  1. กิน คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกดัดแปลง ขณะนี้อาหารเกือบทุกอย่างที่วางขายในท้องตลาด มักถูกดัดแปลงปรุงแต่งใหม่ เพื่อหลอกล่อผู้บริโภคว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่แท้จริงกลับเป็นผลเสียต่อร่างกาย คาร์โบไฮเดรตมักถูกดัดแปลง หรือแฝงในรูปต่าง ๆ เช่น ข้าวที่ถูกสีจนขาว น้ำตาลทรายขาว ขนมหวาน ลูกกวาด น้ำอัดลม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ควรบริโภคแต่คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติที่ไม่ถูกดัดแปลง และมีคุณค่าสูง ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ผลไม้สด ถั่ว ผัก และเมล็ดพืช
  2. ต้องกินโปรตีนให้เหมาะสม โปรตีนมีอยู่ในเมล็ดพืช ผัก มันฝรั่ง ถั่ว นมพร่องไขมัน และอาหารทะเล บางคนเข้าใจผิดว่าเนื้อวัวมีโปรตีนสูง แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องนัก การที่เนื้อวัวให้พลังงานสูง เพราะมีโปรตีนมาก แต่ร่างกายย่อมต้องการโปรตีนให้ได้สัดส่วนกับอาหารอื่น ถ้ากินมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นไขมันสะสมไว้ และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมาใช้ได้อีก
  3. ควรหลีกเลี่ยงไขมัน ยามเมื่ออายุมากขึ้นไขมันเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดโรคหลายอย่าง นั่นคือ ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ น้ำมัน เนย มายองเนส กรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกายนั้น พบในเมล็ดพืชทุกชนิด ผลไม้เปลือกแข็ง และข้าว การเก็บรักษาอาหารประเภทนี้ต้องใส่ภาชนะปิด เพราะแสง ความร้อน และอากาศสามารถทำลายกรดไขมันที่จำเป็นได้
  4. กินวิตามินที่ได้จากพืช และสัตว์ วิตามินธรรมชาติมีคุณภาพสูงกว่าวิตามินสังเคราะห์ ยิ่งถ้าเราถูกกระทบจากความเครียดมาก ร่างกายยิ่งต้องการวิตามิน และเกลือแร่ทดแทนมากกว่าคนปกติ
  5. ควรเน้นผัก และผลไม้สด อาหารในแต่ละวันควรเป็นผักสด และผลไม้ประมาณ 70% อีก 30% ควรเป็นอาหารประเภทอื่น ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มพลังตับสูงให้แก่ร่างกาย จะเห็นได้จากนักกีฬาชั้นนำระดับโลกต่างหันมาบำรุงร่างกายด้วยผัก และธัญพืชกันมากขึ้น
  6. หลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่ง ได้แก่ อาหารหวานจัด อาหารสำเร็จรูป อาหารที่มีสารเคมีเป็นส่วนผสม และโซเดียมซึ่งมีอยู่ในเกลือ ผงชูรส ผงฟู และสารผสมอาหารต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ไม่มีคุณค่าแต่กลับมีโทษต่อร่างกาย
  7. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะ ร่างกายเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% แต่ละวันเราสูญเสียน้ำไป 6-8% ของจำนวนน้ำทั้งหมด น้ำจะเป็นตัวพาสารอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควรดื่มน้ำสะอาดก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำย่อยทำงานเต็มที่ และเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ควรดื่มน้ำ 3-5 แก้ว งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เนื่องจากน้ำอัดลม และน้ำเกลือแร่ไม่มีคุณค่าอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
  8. กินอาหารแต่ละมื้อให้เหมาะสม ไม่ควรกินอาหารจนแน่นอึดอัด ควรกินแค่เกือบอิ่ม มื้อเช้าควรได้อาหารที่ให้พลัง เพราะต้องทำงานทั้งวัน มื้อกลางวันไม่ควรทานมากจนแน่นท้อง เพราะอาจทำให้ง่วงนอนในตอนบ่าย ส่วนมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่เบาท้องเพราะใกล้เข้านอน ในขณะที่เรานอนหลับ ควรให้กระเพาะ และสำไส้ได้พักผ่อนบ้าง
  9. กินอาหารตามฤดูกาล และที่มีอยู่ในท้องถิ่น พืช ผัก ผลไม้ ตามฤดูกาลจะ ทำให้ร่างกายมีความสมดุลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี อาหารที่ผิดฤดู หรือที่เข้ามาจากต่างประเทศ อาจเคลือบสารเคมีหรืออาบรังสีบางอย่างเอาไว้ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่มีภูมิต้านทานได้ในฤดูร้อน ควรลดอาหารหนัก และในฤดูหนาวควรกินอาหารที่ให้พลังงาน และความอบอุ่น หลายคนชอบกินอาหารฝรั่ง ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารที่มีไขมันสูงเกินความต้องการของคนในประเทศ ซึ่งเป็นเมืองร้อน แต่เหมาะกับต่างประเทศที่เป็นเมืองหนาว
  10. กินให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน หากทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ ซึ่งมีเครื่องปรับอากาศทั้งวัน ไม่ควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อมากเท่ากับกรรมกรที่ทำงานใช้แรงงานกลางแดด
หลักการกินทั้ง 10 ประการนี้ ช่วยให้ท่านที่ปฏิบัติตาม ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผนวกกับการดูแลเอาใจใส่ตัวเองด้วยการ ออกกำลังกาย และปฏิบัติธรรมแล้วสุขภาพกาย และจิตใจของท่านจะแข็งแรง และดูอ่อนกว่าวัย ไม่ว่าอายุจะล่วงเลยไปเท่าไรก็ตาม

ข้อสรุปในเรื่องอาหาร และการปฏิบัติตนสำหรับผู้สูงอายุ
  1. จัดอาหารที่ให้พลังงานลดลง เช่น ลดอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมันลง
  2. จัดหารอาหารที่เคี้ยวง่าย และย่อยง่าย โดยจัดหาอาหารให้มีลักษณะน่ารับประทาน และรสชาติถูกใจผู้สูงอายุ
  3. จัดอาหารให้ครั้งละน้อย ๆ แต่จัดให้กินบ่อยขึ้น เช่น มีมื้อของว่าง
  4. จัดอาหารให้กินตามเวลา และไม่ควรให้ท่านรอเมื่อหิว
  5. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ อาจเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้สด ไม่ควรดื่มชา กาแฟแก่ ๆ เพราะจะทำให้ท้องผูก และนอนไม่หลับ
  6. ไม่กินยาระบาย ยาลดกรด และยาอื่น ๆ โดยแพทย์มิได้สั่ง
  7. ห้อง หรือที่อยู่อาศัย ควรมีการระบายลมที่ดี และอยู่ในที่ที่ไม่ร้อนจัด เมื่อหนาวก็มีผ้าห่ม และเสื้อกันหนาวให้อย่างเพียงพอ
  8. ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
  9. รักษาสุขภาพจิตให้ดี ควรใช้เวลาในวันนี้ศึกษาพระธรรม และฝึกปฏิบัติเพื่อได้มีสติสัมปะชัญญะอยู่เสมอ
imageที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

อาหารชีวจิต

การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจาก อาหารการกิน

อาหารชีวจิต
ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน
สำหรับจุดประสงค์หลักของชีวจิตก็คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยยึดเอาวิธีปฏิบัติและความคิดในแนวธรรมชาติเป็นหลัก ในด้านร่างกายและจิตใจนั้น ชีวจิตถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อร่างกายด้วยความสุขสมบูรณ์ (Wholeness as Perfection)
การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความ สงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง

ชีวจิต คืออะไร
ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ เป็นวิถีการดำรงชีวิตและการบริโภคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติค ซึ่งมีการดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่แบบไทย ๆ อาหารชีวจิต เป็นการบริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่งพืชหัวไม่ปอกเปลือก ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว งดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่ การดำรงชีวิต อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ไม่แออัด มีชีวิตเรียบง่าย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ยัดธรรมชาติเป็นหลัก มีการฝึกสมาธิเป็นประจำ โดยภาพรวมแล้ว การปฏิบัติตามแนวชีวจิตจะมุ่งเน้นความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด
ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์วม(Holistic) คือผนวกรวมเอา "ชีว" ที่หมายถึง "กาย" รวมเข้ากับ "จิต" ที่หมายถึง "ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมายและการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อกายและใจทำงานเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน (Wholeness as Perfection)

การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้
เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัย
ใหม่นานัปการ

แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิด

ปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้าม
กลับเป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพเกิดความสมดุลและกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จากหลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป

จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ก็
ย่อมทำงานได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. ใช้ธรรมชาติเป็นยา
2. ใช้อาหารเป็นยา
3. ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
  • แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
  • Wholistic (Holistic)
  • Macrobiotics
  • แบบจีนและการฝังเข็ม
  • อายุรเวทและโยคะ
  • สมุนไพร
  • การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
  • แบบอื่นๆ
4. การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
  • โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
  • การยืด ส่ง และดัน
  • Chiropractic
  • การรำตะบอง 
โดย : เว็บไซต์อาหารชีวจิต

วิตามินสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย

โปรตีน คาร์โบไฮเตรด ไขมัน สารอาหารหลักที่ผู้ที่รักการออกกำลังกายทราบดีว่าควรรับประทานเข้าไปในแต่ละ วันมากน้อยเพียงใด แน่นอนว่าการควบคุมแหล่งปริมาณพลังงานที่คุณรับประทานจะเป็นการรับประทาน อาหารที่ดีต่อสุขภาพก็ตาม ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป นั่นก็คือ

วิตามิน

ที่ จริงแล้ววิตามินมีปัจจัยสำคัญต่อขบวนการต่าง ๆ ในร่างกายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณมีโปรแกรมเพิ่มหรือลดปริมาณอาหาร แม้ว่าวิตามินจะเป็นสารอาหาร อาหารที่ไม่ให้พลังงานเหมือนกับโปรตีน ไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรต แต่การได้รับวิตามินไม่เพียงพอก็อาจทำให้ภูมิต้านทานของร่างกาย และประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายลดลง

วิตามินในกลุ่มที่ละลายในไขมัน
 

วิตามิน A
Goal :
ใช้ในการสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์
Dosage :

5,000-25,000 IU.ต่อวัน และสามารถเพิ่มถึง 60,000 IU.ต่อวันสำหรับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
 
วิตามิน D
Goal :
เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง
Dosage :
400-1,000 IU.ต่อวัน
 
วิตามิน E
Goal :
ป้องกันกล้ามเนื้ออ่อนล้า เพิ่มภูมิต้านทางให้กับร่างกาย และยังเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยฟื้นฟูสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
Dosage :
200-1,000 IU.ต่อวัน
 
วิตามิน K
Goal :
รักษาภูมิต้านทางของร่างกาย ช่วยให้เลือดแข็งตัวเวลาเกิดบาดแผล และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ จากการออกกำลังกายอย่างหนัก
Dosage :
80-180 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินในกลุ่มที่ละลายในน้ำ
 

วิตามิน B1
Goal :
เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ใช้เพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อสำหรับนักกีฬา และจำเป็นต่อระบบเมตาบอริซึมของคาร์บอไฮเดรต
Dosage :
30-300 มิลลิกรัม
 
วิตามิน B2
Goal :
เป็นวิตามินที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย สร้างการเจริญเติบโตให้กับกล้ามเนื้อ
Dosage :
30-300 มิลลิกรัม
 
วิตามิน B6
Goal :
สำหรับขบวนการเมตาบอริซึมของโปรตีน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่มปริมาณโปรตีนเพื่อสร้างขนาดกล้ามเนื้อ
Dosage :
20-100 มิลลิกรัม
 
วิตามิน B12
Goal :
เป็นวิตามินที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย สร้างเซลล์ และเนื้อเยื่อใหม่ ๆ ให้กับร่างกาย สังเคราะห์เม็ดเลือดแดง
Dosage : 12-200 ไมโครกรัม
 
วิตามิน C
Goal :
เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ จำเป็นต่อขบวนการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ ผิวหนัง เอ็น และกระดูก
Dosage :
60-5,000 มิลลิกรัม


โดย : เอกสารLive Well

อาหารต้านมะเร็ง

โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
วิธีหนึ่งที่สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ นั่นเอง แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้


วิธีหนึ่งที่สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ นั่นเอง แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. พืชตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพราะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
2. อาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. อาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น
  • ผลไม้สีเขียว-เหลือง ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
  • เบต้าแคโรทีน สารมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายนำไปใช้สร้างวิตามินเอ ที่เรียกว่า โปรวิตามินเอ ช่วยบำรุงสุขภาพสายตา สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ สาเหตุของมะเร็งโรคร้ายสารชนิดนี้ มีมากในพืชผักสีแดง เหลือง ส้ม หรือเขียวเข้ม
ผู้ที่ตระหนักถึงภัยของมะเร็งจึงตื่นตัว และหันมาบริโภคหัวแครอท บีทรู้ท บรอคโคลี่ ลูกพรุน ซึ่งส่วนมากต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทำให้ราคาแพง และหายาก ลองหันมาดูผักบ้านเราหลายชนิดมีคุณสมบัติ และเบต้าแคโรทีนไม่น้อยไปกว่ากัน ผักที่ว่านี้ได้แก่
  • ยอดมะยม มีเบต้าแคโรทีนสูงมากถึง 1,662.46 RE
  • ผักโขม ของโปรดของป๊อบอายทีหาง่ายในเมืองไทย มีถึง 558.76 RE
  • ตำลึง รั่วกินได้ที่มีแคลเซี่ยมสูง และเบต้าแคโรทีน 699.88 RE
  • กระถิน มีเบต้าแคโรทีนถึง 460.60 RE
  • ยอดแค ที่เราใช้ลวกจิ้มน้ำพริก มีอยู่ถึง 372-85 RE
  • ชะพลู ที่คุณยายใช้กินกับหมาก แต่เอามาทำอาหารได้หลายอย่าง มีเบต้าแคโรทีน 414-45 RE
  • ผักชีฝรั่ง มีสูงถึง 876.12 RE
** RE หมายถึงไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
4. อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัว โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกาย และการลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง จะช่วยป้องกันมะเร็งเหล่านี้ได้

Wednesday 29 June 2011

แร่ธาตุ สังกะสี (Zinc)

สังกะสีคืออะไร
ปกติทั่วไปร่างกายมนุษย์ต้องการสารอาหารหลัก 5 หมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ โดยเกลือแร่หรือแร่ธาตุนั้นเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายรองจาก น้ำ ไขมัน และโปรตีน ซึ่งแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับองค์ประกอบที่ดีของชีวิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกคือ แร่ธาตุปริมาณมาก (Macro Minerals) ใช้เรียกแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น โดยจะพบแคลเซียมในร่างกายมากที่สุด รองลงมาเป็นฟอสฟอรัส ส่วนแร่ธาตุประเภทที่สอง คือ แร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) โดยแร่ธาตุกลุ่มนี้ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถขาดได้เลย เพราะมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย กล่าวคือ ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ไป ร่างกายก็จะผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ปริมาณที่จำเป็นต่อสุขภาพต่อวันมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง

สังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่มแร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) มีชื่ออีกอย่างว่า ซิงค์ (Zinc) สัญลักษณ์ทางเคมี คือ Zn ประมาณร้อยละ 90 ของสังกะสี ในร่างกายอยู่ที่กระดูกและกล้ามเนื้อ อีกร้อยละ 10 อยู่ที่ ตับอ่อน ตับ เลือด โดยส่วนที่อยู่ในเม็ดเลือดนั้น ร้อยละ 80 อยู่ในเม็ดเลือดแดง และร้อยละ 20 อยู่ในน้ำเลือด ส่วนใหญ่ของ สังกะสี ที่รับประทานเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระ ซึ่งเป็นผลรวมของ สังกะสี ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่ถูกดูดซึมจากน้ำย่อยของลำไส้เล็ก นอกจากนี้ร่างกายยังขับถ่าย สังกะสี ออกทางปัสสาวะโดยจับกับ กรดอะมิโน ได้อีกด้วย ซึ่งในคนปกติจะขับถ่าย สังกะสี ออกประมาณวันละ 300 – 600 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของสังกะสี
สังกะสี มีลักษณะเหมือนกับแร่ธาตุและ วิตามิน อื่นๆ คือ เป็นสารอาหารทีไม่ให้พลังงาน แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกำกับการทำงานของร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิก และโปรตีนเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 100 ชนิด อาจกล่าวได้ว่าเอนไซม์ที่เป็นสารสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาภายในร่างกายเกือบทุกชนิดต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบจึงจะทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้น สังกะสี จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายเรา โดยอาจสรุปขบวนการที่ สังกะสี มีส่วนร่วมในการทำงานในร่างกายมนุษย์ได้ดังต่อไปนี้

1. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส (Alcohol Dehydrogenase) ซึ่งเอ็นไซม์นี้มีหน้าที่ในการกำจัดแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นสารพิษในตับ (Liver)

2. สังกะสี ร่วมทำงานกับ เอ็นไซม์ แลคเตตและมาเลตดีไฮโดรจีเนส (Latate and Malate Dehydrogenase) ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ร่างกายใช้ในขบวนการสร้างกำลังงาน

3. สังกะสี มีส่วนร่วมทำงานกับเอ็นไซม์ อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส (Alkaline Phosphatase) ซึ่งจำเป็นในขบวนการสร้างกระดูกและฟัน

4. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ซูเปอร์อ๊อกไซด์ ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase; SOD) ซึ่งเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Potent Anti-oxidants) ที่มีอยู่ในร่างกาย

5. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ คาร์บอร์นิคแอนไฮเดรส (Carbonic Anhydrase) ซึ่งพบว่าเอ็นไซม์นี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานอย่างสมดุลของระบบประสาทสมอง

6. สังกะสี จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์โปรตีนและสร้าง คอลลาเจน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของเด็ก

7. สังกะสี ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามิน เอ (Vitamin A) ไว้ได้ดีขึ้น และช่วยให้เซลล์สามารถนำเอาวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งช่วยทำให้เซลล์ผิวพรรณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ มีสุขภาพดี และพบว่ายังเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง และควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมันได้ด้วย

8. สังกะสี มีส่วนสำคัญในขบวนการสร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic acid) ทั้งดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งพบว่าในระยะที่ร่างกายต้องการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ไม่ว่าหลังผ่าตัด, เป็นแผลต่างๆ ยิ่งจำเป็นต้องมีขบวนการนี้มากขึ้นเสมอ

9. สังกะสี ยังช่วยในการปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด ทีลิมโฟไซต์ (T-lymphocyte) ให้ทำงานป้องกันเชื้อโรคแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

10. สังกะสี มีความสำคัญต่อการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และควบคุมการทำงานของอวัยวะรับสัมผัส (Taste Sensation) ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. สังกะสี จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการเจริญของระบบสืบพันธุ์ และช่วยให้ต่อมลูกหมากทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ป้องกันการเป็นหมัน

ปริมาณความต้องการสังกะสี
จากคุณสมบัติของ สังกะสี ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในกระบวนการทำงานเกือบทุกระบบในร่างกายล้วนแต่ต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบในการทำงานด้วยกันทั้งนั้น จึงนับได้ว่า สังกะสี เป็นแร่ธาตที่ร่างกายต้องการเป็นประจำไม่สามารถขาดได้เลย โดยปริมาณความต้องการ สังกะสี ของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามเพศ วัย และภาวะของร่างกาย ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริการได้ทำการวิจัยและกำหนดความต้องการ สังกะสี (Zinc) ปกติของมนุษย์ไว้ตามตารางข้างล่างนี้

ปริมาณ สังกะสี ที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (Daily RDAs For Zinc)

อายุน้อยกว่า 1 ปี ปริมาณที่แนะนำ 3 – 5 มิลลิกรัม/วัน

อายุ 1 –10 ปี ปริมาณที่แนะนำ 10 มิลลิกรัม/วัน

อายุ 11 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำ 15 มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำ 20 – 25 มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำ 25 – 30 มิลลิกรัม/วัน

แหล่งของสังกะสี
สำหรับร่างกายมนุษย์แล้วไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์ สังกะสี ได้ขึ้นเอง จำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับสารดังกล่าว ซึ่งแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นแหล่ง สังกะสี ที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก โดยมีการวิจัยพบว่าอาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็น กรดอะมิโนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึม สังกะสี ได้ดีขึ้น โดยธัญพืชประเภท ข้าว ข้าวโพด มี สังกะสี อยู่ปริมาณน้อย ส่วนผัก ผลไม้แทบไม่มีปริมาณ สังกะสี อยู่เลย ซึ่งปริมาณ สังกะสี ในอาหารที่บริโภคประจำวันมีดังนี้

เนื้อสัตว์ อาหารทะเล 1.5 – 4 มิลลิกรัม/100 กรัม
หอยนางรม 75 มิลลิกรัม/100 กรัม
ตับ 4 – 7 มิลลิกรัม/100 กรัม
ไข่แดง 1.5 มิลลิกรัม/100 กรัม
น้ำนมวัว 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
น้ำนมแม่ 0.1 – 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
ธัญพืช 0.4 – 1 มิลลิกรัม/100 กรัม
ถั่ว 0.6 - 3 มิลลิกรัม/100 กรัม

โดยในการบริโภคอาหารประจำวัน เราควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณ สังกะสี เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามในการดำเนินชีวิตประจำวันปกติของเราทุกวันนี้ ยังมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ไม่เพียงพอได้ตลอดเวลา ปัจจัยดังกล่าว ได้แก่

1. การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารที่มีปริมาณ สังกะสี ต่ำ, อาหารที่มีแร่ธาตุทองแดง (Copper) มากเกินไป, พวก ไฟเบอร์, ไฟเตต (Phytates), แอลกอฮอล์ (Alcohol), ฟอสเฟต (Phosphate) เพราะสารเหล่านี้จะไปลดการดูดซึม สังกะสี ผ่านผนังลำไส้ของคนเราได้

2. อายุที่มากขึ้น (Aging) ประสิทธิภาพการดูดซึม สังกะสี ลดลง

3. หญิงในระยะตั้งครรภ์ (Pregnant) ต้องการ สังกะสี มากเป็นพิเศษ

4. การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ทำให้ขาดธาตุ สังกะสี ได้

5. ภาวะโรคต่างๆ ที่ต้องการแร่ธาตุ สังกะสี เป็นพิเศษ เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic infections) พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) ผิวหนังอักเสบ (Psoriasis) ตับแข็ง (Cirrhosis)

6. โรคพันธุกรรม ที่ทำให้การดูดซึม สังกะสี ไม่ดี พบในเด็กเล็ก เรียกว่า Acrodermatitis Enteropathica (โรคผิวหนังอักเสบ และผิดปกติทางจิตใจ)

อาการขาดสังกะสี
ซึ่งถ้าร่างกายมีอาการขาดแร่ธาตุ สังกะสี เป็นเวลานาน จะเป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย ดังนี้

1. การเจริญเติบโตในเด็กล่าช้า ตัวเล็ก แคระแกรน หรือหยุดชะงักเป็นหนุ่มเป็นสาว

2. ผิวหนังมีการอักเสบ โดยระยะแรกจะเป็นรอบปาก และอวัยวะเพศ ต่อมาจะลามไปที่แขนและขา เริ่มแรกอาจเป็นแค่ผื่นแดง ต่อมาจะมีลักษณะเป็นเม็ดพุพอง

3. ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร การรู้รสลดน้อยลง

4. ระบบประสาท อาจมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขาดสมาธิ เหม่อลอย และมีอาการตาบอดแสงได้

5. ระบบต่อมไร้ท่อ คือ ทำให้อวัยวะเพศเด็กเล็ก ไม่โตขึ้นตามวัย

6. มีอาการผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ ผิวแห้ง

สรุปประโยชน์ของสังกะสี
ในขณะที่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ที่เหมาะสม เพียงพอต่อความต้องการตามแต่ละสถานะของแต่ละคนแล้ว นอกจากไม่ต้องเผชิญกับอาการขาดธาตุ สังกะสี ดังกล่าวแล้ว กลับเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างมากมาย ซึ่งสามารถสรุปประโยชน์จากแร่ธาตุ สังกะสี ได้ดังนี้

1. ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาแผ้วพานร่างกายคนเรา จากการศึกษาหลายชิ้นให้ผลว่า ถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี ปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว จะมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์

2. ป้องกัน มะเร็ง พบว่าผู้ป่วย มะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีปริมาณ สังกะสี ต่ำกว่าคนปกติ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สังกะสี สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งต่อมลูกหมาก ได้

3. ป้องกันไม่ให้ตาบอดในผู้สูงอายุ การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration นั้นพบว่า เกิดจากการขาดธาตุ สังกะสี

4. ป้องกันและรักษาโรคหวัด พบว่าเมื่อเริ่มเป็นหวัด ถ้ารีบรับประทานธาตุ สังกะสี ทันทีจะ ช่วยให้อาการหวัดรุนแรงน้อยลงและจำนวนวันที่ป่วยก็ลดลงด้วย

5. ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น การรับรู้รอาหารมักจะเปลี่ยนไป บางคนอาจไม่เจริญอาหารและบอกว่า "อาหารไม่อร่อย" นั้น อาจมาจากการรับรู้รสของอาหารเปลี่ยนไปเพราะขาดธาตุ สังกะสี ก็ได้

6. กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น คนที่มีบาดแผลต่างๆ หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การให้ธาตุ สังกะสี จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้รับธาตุ สังกะสี

7. เพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย การผลิตสเปิร์มของผู้ชายต้องการธาตุ สังกะสี มาก จะเห็นได้ว่า ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มี สังกะสี มาก การสร้างฮอร์โมนเพศชาย ก็ต้องการธาตุ สังกะสี เช่นกัน

8. ช่วยรักษาและป้องกันการเป็นหมันในผู้ชาย สังกะสี มีส่วนสำคัญในการสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย การให้ธาตุ สังกะสี วันละ 50 มก. จะทำให้ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้

9. ป้องกันต่อมลูกหมากโต คนสูงอายุมักประสบปัญหาต่อมลูกหมากโต แพทย์จึงให้ สังกะสี ในการรักษาซึ่งก็ได้ผลดี

10. รักษาสิว คนหนุ่มสาวมีปัญหาเรื่องสิว ฝ้า เวลาสิวอักเสบจะไม่น่าดู มีการให้ธาตุ สังกะสี แก่คนที่ขาดธาตุสังกะสีและเป็นสิว ปรากฏว่าได้ผลดี สิวจะหายไป

11. ป้องกันผมร่วง สังกะสี จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของร่างกายของเส้นผม บางรายผมหลุดร่วงไปและกิน สังกะสี ก็จะช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในรายหัวล้านตามอายุนั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีรากผม

12. เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลและติดเชื้อง่าย สังกะสี จะช่วยให้ แผลที่เป็นนั้นหายเร็วขึ้นและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรคด้วย

13. ลดอาการอักเสบและช่วยรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส พบว่าคนเป็นโรคนี้จะมีปริมาณ สังกะสี ในเลือดน้อยกว่าคนทั่วไป จากการทดลองให้ธาตุ สังกะสี ไปพบว่า อาการดีขึ้นมากในเรื่องข้อต่อต่างๆ ที่บวม, ข้อแข็งหรือยึดติด

จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของธาตุ สังกะสี มีมากมายต่อร่างกายคนเรา แต่อย่างไรก็ตามในการบริโภค สังกะสี ควรกระทำในขนาดพอดี เหมาะสมแก่วัยและสภาวะ โดยถ้าร่างกายคนเราได้รับปริมาณ สังกะสี ที่มากเกินพอดี จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งโทษของการได้รับ สังกะสี มากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้

1. ภูมิคุ้มกันร่างกายเสื่อม และ สังกะสี ยังขัดขวางไม่ให้ร่างกายใช้ธาตุทองแดงได้เต็มที่เป็นผลให้ระดับทองแดงในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ

2. โดยถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เกินกว่า 2 กรัมขึ้นไป จะเกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแบบเฉียบพลัน ทำให้ปวดท้อง และอาเจียนได้

3. ในกรณีที่บริโภคมากกว่าวันละ 100 มก. เป็นเวลานานจะทำให้ระดับไขมัน HDL (High-density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชั้นดีลดลง

โดยสรุปแล้วถึงแม้ว่า สังกะสี จะเป็นแร่ธาตุกลุ่มที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับแร่ธาตุอื่น แต่ความสำคัญต่อร่างกายมิได้มีเพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด กลับเป็นแร่ธาตุที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการทำงานทุกๆ ระบบของร่างกาย โดยแหล่งอาหารธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง คือ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับ สังกะสี ไม่เพียงพอก็จะก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือโรคต่างๆ ได้มากมาย ในขณะเดียวกันถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เป็นปริมาณที่เกินพอดีก็จะก่อโทษให้กับร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นควรเลือกเดินทางสายกลาง บริโภคอาหารที่ให้แร่ธาตุ สังกะสี ในปริมาณที่พอเพียงเหมาะสมต่อร่างกาย นอกจากจะไม่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับการขาดธาตุสังกะสีแล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

Monday 27 June 2011

เผย 5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้

เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภ
าพตามช่วงอายุ
การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม


วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้


วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หา รับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย


วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย


วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน


สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

ผัก ผลไม้ ที่มีสารล้างพิษ 20 อันดับ

 
คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด
หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ
เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางอย่างก็หาได้ง่าย
แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้ แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสีย
ออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ
สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น
คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง 


20. สาหร่าย 


เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษา
ของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจาก
รังสีที่สะสมในร่างกาย 


ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี
เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น
และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีน
และเกลือแร่ในปริมาณมาก


19. หัวหอม 


ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการ
ก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค
เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่ 


18. มะนาว 


เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับ
น้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น
แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้
และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย 


17. เมล็ดแฟลกซ์ 


ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง
ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น
(... ดูรายละเอียดเพิ่มเติม " เมล็ดแฟลกซ์ " คุณค่าอาหารมากมาย
http://www.baanmaha.com/community/thread31241.html... )


16. กระเจี๊ยบ 


น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจาก
ระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะ
ไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบ
สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้


15. ทับทิม 


ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษา
อาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็น
สารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของ
เชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ
ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้
ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น


14. พืชตระกูลถั่ว 


( เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำ
มีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิด
โรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาล
ในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก


13. ขึ้นฉ่าย 


ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้น
จากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่าย
ยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่
ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน บุหรี่ด้วย 


12. แครอท 


เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene )
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม
ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบ
ทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจ
และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง
และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น


11. มะเขือพวง 


คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก
สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือ
เป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ
และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วน
กว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึม
ไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย)
และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง
จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย 


10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต 


เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก
สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด
นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ ร่างกาย
ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหาร
และมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษ
ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 


9. กระเทียม 


จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย
นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร
และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือด
มีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้
ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป
ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย


8. บลูเบอร์รี่ 


เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์ สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหาร
รักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง
สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ


7. กะหล่ำ 


เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมน
ที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย
ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรีย
และไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม
ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม
เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์
ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย


6. บีตรูต 


ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล
( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติ
ต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง
อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น
จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่า
บีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย 


5. อะโวคาโด 


อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป
ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอล
และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษ
ที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสีย
จำพวกสารเคมีและโลหะหนัก
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan )
พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน
และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ 


4. ตำลึง 


ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรา
มักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึง
จะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดี
ที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึง
ยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย


3. แอปเปิล 


ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอล
และโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง
นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร
ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้


2. อัลมอนด์ 


เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน
แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง
ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia )
ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )
จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก
สุดท้ายแล้วววว เกือบทุกบ้านมีแน่ๆค่ะ หาง่าย กินง่าย มันก็คือ 


1. กล้วย 


มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร
ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว
หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว
หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก.. ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

Sunday 26 June 2011

บิลเบอร์รี่ (Bilberry)




บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นไม้พุ่ม ขนาดเล็ก ในตระกูล Ericaccae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vaccinium myrtillus ซึ่งเป็นพืชสายพันธุ์ใกล้เคียง กับ Blubery ของแถบอเมริกาเหนือ เราจะพบบิลเบอร์รี่ มากในประเทศแถบยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในอังกฤษและยุโรปตอนเหนือ มักจะนิยมนำผลบิลเบอร์รี่สุกมาทำเป็นแยมมานานกว่า 100 ปีแล้วนอกจากนี้ยังนำส่วนของใบและก้าน ไปทำเป็นผลแห้งเพื่อทำเป็นผงชาสำหรับดื่มเพื่อสุขภาพกันอย่างแพร่หลายอีกด้วย

บิลเบอร์รี่ เริ่มฮิตติดอันดับเครื่องดื่มสุขภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่นักบินในหน่วยทหารอากาศของประเทศอังกฤษ นำผลบิลเบอร์รี่สุกมารับประทาน แล้วพบว่าทำให้ความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น และทำให้อาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานานๆ น้อยลง หลังจากนั้น อีกถึง 20 ปี จึงได้มีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันอย่างจริงจัง ว่าทำให้บิลเบอรี่จึงให้ผลดีต่อสุขภาพของดวงตาอีกครั้งหนึ่ง

จากผลการวิเคราะห์และวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากหลายๆ ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ได้ค้นพบว่าสารที่สำคัญในบิลเบอร์รี่ มีดังนี้
  1. แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) สามารถจับกับเซลล์บุผิว( pigmented epithelium) ที่จอภาพเรตินาได้ดี โดยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (Anti-oxidant) ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ และคืนสภาพสาร rhodopsin ได้หลังจากถูกแสง จึงช่วยทำให้การมองเห็นในที่มืดได้ดี
  2. แทนนิน(Tannins) มีฤทธิ์ในการสมานแผล(Astingent) และให้ผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น พวกแบคทีเรียบางชนิด
  3. ฟลาโวนอยด์(Flavonoid) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เช่นกัน และยังเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญต่อมนุษย์
  4. กลูโคควินิน(Glucoquinine) เป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้การทำงานของอินซูลิน ทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
ประโยชน์ของอาหารเสริมที่สกัดจากบิลเบอร์รี่ต่อสุขภาพดวงตา
  1.  ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
  2. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)
  3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ
  4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
  5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)

สรรพคุณอื่นๆ ที่ค้นพบนอกจากนี้ คือ
  1. พบว่าสารแทนนิน ในผลบิลเบอร์รี่สามารถบรรเทาอาการท้องเสีย อาการคลื่นไส้ และภาวะอาหารไม่ย่อยได้
  2. พบว่าสารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่ สามารถลดอาการปวดเจ็บจากภาวะเส้นเลือดขอด (Varicose vein) ได้ เนื่องจากภาวะดงกล่าวเกิดจาก ความเสื่อมของเซลล์เช่นกัน
  3. พบว่าสารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่ สามารถใช้ลดอาการอักสเบในช่องปาก และเยื่อบุช่องปากได้
  4. พบว่าสารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่ ช่วยลดอาการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ที่ทให้เกิดจุดด่างดำของผิวพรรณได้

ปัจจุบันจึงได้มีการจดบันทึกว่า

บิลเบอร์รี่เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง จึงมักนิยมนำมาเป็นอาหารเสริม และได้รับความสนใจ ในการนำมาใช้ในการรักษาสุขภาพในปัจจุบัน สำหรับคนสุงอายุ หรือคนที่ต้องการถนอมดวงตาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นและนานๆ

แหล่งที่มีข้อมูล: วิชาการ.คอม



ความแตกต่างระหว่าง Blackberry และ  Blueberry


Thursday 23 June 2011

ทองคำขาว (Platinum)

ทองคำขาว คือ โลหะสีขาวบริสุทธิ์ (อยู่ที่ประมาณ 95%) มาจากรากศัพท์ว่า แพลทินา ซึ่งแปลว่าเงินเล็กๆ ทองคำขาวมักพบเป็นเม็ดเล็กๆ หรือก้อนขนาดเล็กที่อยู่ในตะกอบทับถมของแร่ แหล่งทับถมแหล่งใหญ่คือ รัสเซีย แคนาดา และแอฟริกาใต้ ด้วยความแข็งที่ไม่มาก จึงไม่ค่อยเป็นผลึกที่เป็นเหลี่ยมคมมาก มักถูกใช้เป็นตัวโลหะสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นเครื่องมือผ่าตัด เพราะไม่เป็นสนิม และที่นิยมมาทำเครื่องประดับ เพราะจะมีความขาวที่ยาวนานมาก  ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปชุบด้วย โรเดียมเหมือนทองขาว สังเกตว่าทองคำขาวจะมีความหนักกว่าทองคำเมื่อเทียบในปริมาณเท่ากัน เมื่อสวมใส่จะสามารถรู้สึกได้ทันที 

เพชร ที่อยู่บนตัวเรือนพลาทินัมยังสวยกว่าบนโลหะอื่นๆ เนื่องจากโลหะพลาทินัมหนาแน่นกว่า ผิวจึงมันวาวและเรียบกว่าทอง ส่งผลให้การสะท้อนแสงเข้าเพชรได้ดีกว่า เพชรจึงดูขาวเป็นประกายขึ้นกว่าเมื่ออยู่บนตัวเรือนแพลทินัม
แพลทินัม จะแกะลายได้สวยกว่าทองเนื่องจากความหนาแน่นสูง และเมื่อใช้ไปในระยะยาวจะยังคงมีลายที่คมชัดเหมือนเดิมไม่สึกออกไปเหมือนทอง (แพลทินัมจะน้ำหนักเท่าเดิมไม่สูญหายเหมือนทองที่พอใช้ไปเรื่อยๆ เนื้อทองจะหลุดร่อนทุกครั้งที่กระทบโน่นนี่)

ทองคำขาว จะแพงกว่าทองคำ ราวๆ 2-3 เท่า โปรดอย่าหลงเชื่อร้านเพชรที่แนะนำให้ทำเครื่องประดับด้วยทองขาว แล้วบวกราคาเท่ากับทองคำขาว ซึ่งท่านคงทราบแล้วว่ามันไม่ได้ขาว แค่เหลืองน้อยลง และต้องชุบใหม่ทุกๆ ปี ไปตลอดกาล

หากคิดค่าชุบใหม่ทุกปีประมาณปีละ 400-500 บาทคุณใช้ไปอีก 50  ปีก็ราวๆ 20,000 กว่าบาท

แนะนำว่าหากต้องการแหวนแต่งงาน เครื่องประดับใดๆ อย่าทำเป็นทองขาว ทา
งเลือกที่ดีที่สุดคือให้ ทำเป็นทองคำ 90% แล้วบอกร้านให้ชุบขาว หรือโรเดียมแทน เพราะขายต่อได้ราคาเหมือนทองเต็ม และสามารถนำไปหลอมทำแบบใหม่ๆ ที่ต้องการเปลี่ยนได้ทันที หรือ ไม่อยากยุ่งยาก หากมีงบประมาณอีกนิดหน่อยก็ทำเป็น Platinum ไปเลย หมดปัญหาเรื่องการชุบใหม่ที่ทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว อีกทั้งยังแข็งแรงกว่าไม่ต้องคอยซ่อมหรือมาเคาะตัวเรือนใหม่ทุก 2-3 ปี เหมือนทองหรือทองขาว


รายละเอียดของแพลทินัม
เป็น โลหะธาตุที่นำมาใช้เป็นพันปีมาแล้ว แต่เพิ่งมารู้จักเคมีธาตุในปี ค.ศ. 1735 ซึ่งจัดเป็น 1 ในโลหะ มีค่า 3 ชนิด คือ ทอง เงินและแพลทินัม แหล่งใหญ่ที่พบ :อัฟริกาใต้ แคนนาดา(เมืองซัสเบอรี่) อเมริกา (รัฐอลาสกา) รัสเซีย


คุณสมบัติทางเคมีของแพลทินัม
ไม่ สึกกร่อนหรือละลายด้วยกรดไม่เป็นสนิมไม่หลอม ละลายด้วยไฟหลอมทองปกติ(เนื่องจากจุดหลอมเหลวสูงกว่า ทองมาก)รูปทรงคงทนไม่บิดเบี้ยวได้ง่ายแม้ว่าจะมีค่าความ บริสุทธิ์สูงเมื่อเทียบกับทองลักษณะเดียวกับ ( เนื่องจากค่าความ แข็งสูงกว่าทองเกือบเท่าตัว )

แพลทินัม: เครื่องประดับ
จาก คุณสมบัติของแพลทินัมและปริมาณที่มีไม่มาก ประกอบกับส่วนใหญ่จะใช้วงการอุตสาหกรรมต่างๆทำให้ แพลทินัมราคาสูงเมื่อนำมาใช้ในวงการเครื่องประดับส่งผล ให้ราคาของแพลทินัมสูงกว่าทองราคาทองคำ ดังนั้นเครื่องประดับที่ทำด้วยแพลทินัมจึงอยู่ในหมู่ของผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง เท่านั้นที่ชื่นชอบความคงทนของลวด ลายที่แกะสลักความแข็งแรงของตัวเรือนที่เกาะอัญมณีได้ยาวนานกว่าทองและสู้ ราคาได้

ค่าความบริสุทธิ์ของ แพลทินัม (Pt)
แพลทินัม 1000 ส่วน เทียบเป็น 100 % แพลทินัม 900 ส่วน เทียบเป็น 90 %

ตัวเลขที่บอกค่าความบริสุทธิ์ของ Pt บนตัวเรือนเครื่องประดับ
Pt950,Pt900,Pt850,Pt800,Pt600ใช้กัน เป็นสากลนิยมทั่วไปหากมี % ความบริสุทธิ์ต่ำกว่า 50 จะไม่ เรียกเป็นแพลทินัม

    
คุณสมบัติทางกายภาพ ของแพลทินัม
สีแพลทินัมบริสุทธิ์  : ขาว
สัญลักษณ์ธาตุ       : Pt
ธาตุลำดับที่            : 78
โครงสร้างผลึก        : คิวบิค
ส่วนประกอบธาตุ      : แพลทินัม
ค่าความแข็ง            : 4
ค่าความถ่วงจำเพาะ   : 21.40
น้ำหนักอะตอม          : 195.09
จุดหลอมเหลว           : 1769 C
จุดเดือด                  4530 C

แพลทินัม เป็นธาตุอิสระในธรรมชาติ มีลักษณะเป็นผงหรือเม็ดขนาด เล็กมากบางครั้งตาเปล่ามองไม่ เห็นแทรกอยู่กับหินอัคนีจะต้อง นำมาถลุงและหลอมรวมกันจะได ้ เป็นก้อนแพลทินัมนำไปใช้งานได้


ที่มา http://www.gemthailand.com and www.toow.com                                                             

เงิน (Silver)

เป็นเรื่องยากที่ผู้ซื้อจะสามารถล่วงรู้ใด้ว่า เครื่องเงินที่ตนซื้อนั้นเป็นเงินจริงหรือเงินปลอม เพราะการพิสูจน์เครื่องเงินไม่สามารถ'ดู'  ได้ด้วยตาเปล่า

         คุณอนันต์  แสงวัณณ์  เลขาธิการสมาคมเครื่องถมและเครื่องเงินไทย  บอกกับ  'ซองคำถาม'  ว่า  ปัจจุบันการปลอมแปลงเนื้อเงินทำได้แนบเนียนขึ้น  ต้องพิสูจน์ด้วยน้ำยาหรือเครื่องมือที่ทำขึ้นโดยเฉพาะจึงจะรู้  คุณอนันต์แนะว่า  เครื่องเงินปลอม  หรือเงินที่ไม่บริสุทธิ์ ปลอมปนโลหะชนิดอื่นในปริมาณมาก จะมีน้ำหนักเบากว่าเงินแท้  ถ้าชื้อเครื่องประดับเงินหนักเพียงบาทสองบาทคงพอเทียบน้ำหนักกับเครื่อง ประดับทองที่เรามีติดตัวได้บ้าง เพราะทองและเงินในน้ำหนัก ๑ บาทจะมีค่า ๑๕ กรัมเท่ากัน แต่ถ้าชื้อเครื่องเงินน้ำหนักมาก เช่นเข็มขัดเส้นโต คงยากที่จะพิสูจน์ เรื่องเครื่องเงินปลอมปนนั้น ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่ถูกหลอก ชาวต่างประเทศก็ถูก  'ต้ม'  มานักต่อนัก  คุณอนันต์บอกว่าชาวต่างประเทศไม่รู้จะไปเอาเรื่องกับใครถึงกับทำฎีกาถวาย ในหลวงก็มี

         'ซองคำถาม'  ได้อ่านหนังสือ  'เครื่องเงินในประเทศไทย' ของคุณแน่งน้อย  ปัญจพรรค์  เห็นว่ามีข้อมูลน่าสนใจจึงขอคัดมาแถมท้ายดังนี้

         โลหะเงินที่เรารู้จักกันนั้น  มีที่มาทั้งจากที่เป็นสินแร่เงินโดยตรง  เช่น  เป็นเกล็ดเล็ก ๆ หรือเป็นเลนปนในดินหินทราย เป็นก้อนเงินบริสุทธิ์  และทั้งที่เป็นสารประกอบปนอยู่ในแร่อื่น ๆ ในอดีตเราอาจทำโลหะเงินจากแร่เงินโดยตรง แต่ปัจจุบันแร่ที่ให้โลหะเงินโดยตรงเกือบไม่มีแล้ว ต้องใช้วิธีแยกโลหะออกจากการถลุงโลหะอื่น  เช่น ตะกั่ว สังกะสี และทองแดง เป็นต้น

         ไม่น่าเชื่อว่าเงินนั้นอาจตีแผ่เป็นแผ่นได้บางถึง ๐.๐๐๐๐๑  นิ้ว เงินหนัก ๐.๐๖  กรัมสามารถดึงให้ยาวได้ถึง ๔๐๐ ฟุต

         นอกจากนั้นเงินยังเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดีที่สุด  ต่อต้านการกัดผุได้แทบทุกชนิด ทนทานต่อการกัดของกรดน้ำส้มได้เป็นพิเศษ  แต่ควันหรืออากาศที่มีธาตุกำมะถันผสมจะจับผิวให้คล้ำคำจนมองไม่เห็นเนื้อ เงิน

         เงินมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง ในทางอุตสาหกรรมเงินผสมโลหะอื่นใช้ในการเชื่อมต่อ ใช้ทำส่วนประกอบเครื่องกลต่าง ๆ  และยังใช้เป็นสารประกอบในการทำฟิล์มอีกด้วย ในวงการแพทย์เงินเป็นตัวกันไม่ให้แผลเน่า ใช้ป้องกันสมองแทนชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะที่ถูกตัดทิ้ง ใช้ตามกระดูก ใช้ผสมปรอทและอื่น ๆสำหรับอุดฟันได้ดีมาก

         เงินหรือโลหะเงินที่เรารู้จักกันนั้นเป็นทั้งเงินบริสุทธิ์ ๑๐๐%  และเงินผสมเพื่อความแข็งแกร่งในการทำรูปพรรณ เงินที่น่าจะกล่าวถึงในที่นี้มี ๒ อย่างคือ เงินสเตอร์ลิง (Sterling) หมายถึง  เงินที่มีทองแดงผสมไม่เกิน ๗.๕% เป็นมาตรฐานสากลของเครื่องเงินที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับได้ทั่วไป และเงินอีกชนิดซึ่งความจริงไม่ใช่เงิน คือ เงินเยอรมัน เป็นเงินเทียมที่ประกอบด้วยทองแดงและนิกเกิล ไม่มีเนื้อเงินเลย

         วิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเงินนั้น สมัยก่อนใช้ขูดหรือบากเนื้อเงินลงไปดื้อ ๆ  ดังจะเห็นได้จากรอยบากที่เงินพดด้วง แต่สมัยนี้ใช้น้ำกรดดินประสิว  ถ้าเป็นเงิน ๑๐๐% ก็จะขาวนวลไม่เปลี่ยนแปลงถ้าเป็นเงิน ๙๒.๕% จะมีสีเขียวนิด ๆ ถ้าปลอมปนมากก็จะเขียวมากตามสัดส่วน

         เงินแท้บริสุทธิ์นั้น  เมื่อถูกควันบางชนิดจะดำดังได้กล่าวแล้วเงินไม่บริสุทธิ์ที่ผสมโลหะอื่นมาก เกินมาตรฐานนั้นเมื่อทิ้งไว้จะไม่ดำแบบเงินแท้  แต่จะออกเหลืองหรือแดงตามสีโลหะที่ผสม เงินที่เก็บไว้อย่างมิดชิดในตู้ที่ปิดแน่นหรือในถุงพลาสติกจึงไม่ดำง่าย แต่ความดำของเงินนั้นสามารถล้างออกได้หลายวิธี  เช่น ต้มน้ำร้อนบีบมะนาว  ขัดถูด้วย แป้งดินสอพอง  ใช้น้ำยาหรือครีมขัดโลหะหรือล้างด้วยกรด ซึ่งวิธีนี้จะขาวขุ่นมากเกินไป

         สำหรับนิกเกิลซึ่งมีสีขาววาวคล้ายเงินนั้น เป็นโลหะเนื้อแข็งไม่มีราคา จึงมักจะถูกนำมาใช้แทนเงินในกรณีที่ต้องการทำสิ่งของราคาถูก เช่น เครื่องประดับหรืออื่น ๆ  แต่นิกเกิลนั้นมีความใสวาวมากกว่าเงินแท้ซึ่งขาวนวลมากกว่า

         ไทยไม่มีแร่เงินของตนเอง แต่โบราณสมัยที่ยังใช้โลหะเงินทำเป็นเงินตรา เราก็นำโลหะเงินเข้ามาจากจีนโดยแลกกับข้าว  ต่อมาเมื่อเริ่มใช้เหรียญกษาปณ์ พวกเงินตราเก่า ๆ ก็กลายเป็นที่มาของเงินที่นำมาหลอมสกัดเอาเนื้อเงินมาทำเครื่องใช้ จนแม้ไม่นานมานี้เหรียญเงินรูปีบ้าง  เหรียญเงินอินโดจีนบ้าง  ก็ยังเป็นเนื้อเงินหลักของช่างทำเงิน

         ในปัจจุบัน  เหรียญเก่า ๆ  เกือบไม่มีแล้ว  ความต้องการโลหะเงินมาใช้ในลักษณะสินค้าส่งออกมีมากขึ้น  เงินแท่งจากที่ต่าง ๆ  ทั้งพม่าและตามแนวชายแดนต่าง ๆ  เป็นที่มาสำคัญ กิจการขนาดเล็กจะหาเงินจากร้านค้าทองในรูปแบบของเงินแท่งบ้าง เงินบริสุทธิ์เป็นเม็ด ๆ บ้าง หรือเป็นแผ่นตามมาตรฐานความหนาบางและความบริสุทธิ์เท่าที่ต้องการ กิจการใหญ่ ๆ ต้องสั่งเข้าเนื้อเงินบริสุทธิ์เป็นเม็ด ๆ จากต่างประเทศโดยตรงเช่นจากสวิสและอื่น ๆ ระบบภาษีและมาตรการทางศุลกากรมีผลต่อราคาเครื่องเงินเป็นอย่างมาก
ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี

การควบคุมอาหารเพื่อลดไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด

โคเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่อยูในกระแสเลือด ร่างกายต้องการโคเลสเตอรอลเพื่อช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่ถ้าหากมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป จะทำให้ร่างกายมีความเสืี่ยงต่อการเกิดโรคของหลอดเลือดแดงมากขื้น โดยโคเลสเตอรอลที่สูงจะไปเกาะตามผนังหลอดเลือดจนกลายเป็นคราบไขมัน

คราบไขมันที่เกิดจากโคเลสเตอรอลนี้อาจหนาขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี่้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ลดลง หรือในผู้ป่วยบางรายคราบไขมันนี้อาจแตก ทำให้เกิดการกระตุ้นให้มีการสร้างลิ่มเลือดอุดทางไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้เกิดการขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน่ของอวัยวะที่สำคัญได้

หัวใจ
ถ้าหลอดเลือดไปเลี้ยองกล้ามเนี้อหัวใจอุดตัน จะทำให้หัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บหน้าอก มีอาการหอลเหนื่อย หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

สมอง
ถ้าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน จะทำให้สมองขาดเลือด มีอาการแขนขาอ่อนแรง ซึมลง หรือถ้าสมองขาดเลือดบริเวณกว้าง อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ขาและเท้า
ถ้าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเท้าอุดตัน อาจมีอาการชาปลายเท้าจับดูและรู้สึกเย็น และอาจมีอาการปวดร่วมด้วย อาจมีแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ถ้ามีการติดเชื้อแทรกซ้อน แผลอาจลุกลาม อาจถึงกับต้องตัดขาได้

การควบคุมอาหารมีความจำเป็ฯในผู้ที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูง เนื่องจากสามารถโคเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในระดับเหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อโรคของหลอดเลือดแดงได้ ถึงแม้ในผู้ที่ได้รับยาลดไขมันยังจำเป็นต้องควบคุมอาหาร เพราะการรับประทานยาอย่างเดียวโดยไม่คุมอาหารทำให้การลดโคเลสเตอรอลไม่ได้ผล

หลักการควบคุมอาหารและการปฏิบัติตัวเพื่อเพื่อควบคุมโคเลสเตอรอล
  • หลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์ เช่น ไม่ใช้นำ้มันที่ได้จากสัตว์ในการปรุงอาหาร ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดหนังหรือติดมัน หลีกเลี่ยอาหารสำเสร็จรูปที่ปนหนังหรือมันสัตว์ เช่น ไส้กรอก (ทั้งไสกรอกไทยแลฝรั่ง) หมูยอ แหนม กุนเชียง แฮม เบคอน หลีกเลี่ยอาหารเประเภท Fast-food เช่น แฮมเบอร์เกอร์ พิซซา ไก่ทอด ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนังและมัน ถ้าต้องการบริโภคเนื้อสัตว์บดอาจต้องซื้อเนื้อที่เป็นชิ้นๆ ที่ไม่ติดมันมาบดหรือสับเอง เพราะที่บดขายมันปนมันสัตว์เยอะ
  • งดรับประทานเครื่องในสัตว์ทุกชนิด เพราะมีโคเลสเตอรอลสูง การเลือกรับประทานส่วนของเครื่องในที่เห็นว่าไม่มีมัน เช่น ไส้ หัวใจ ตับ ไต หรืออื่นๆ ไม่ได้หมายความว่าอวัยะส่วนนั้น ๆ ปราศจากโคเลสเตอรอลเพราะส่วนทที่อวัยวะภายในมีโคเลสเตอรอบเป็นส่วนประกอบมากกว่ากล้ามเนื้อ
  • หลีกเลี่ยงอาหารทะเลพวกกุ้ง ปู หอย และ ปลาหมึก
  • ไม่ควรรับประทานอาหารประเภทนมเนย ยกเว้นนมพร่องมันเนยที่สามารถดื่มได้
  • รับประทานไข่แดงไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ฟอง ไข่ขาวรับประทานได้ไม่จำกัด
  • รับประทานผักและผลไม้มากๆ (ผลไม้ควรเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด) บางท่านอาจชอบรับประทานสลัดผัก ต้องระวังว่านำ้สลัดส่วนใหญ่มักจะทำจากไข่แดงและนำ้นำ้มันซึ่งความหลีกเลี่ยง หรืออาจเลือกนำ้สวัดไขมันตำ่หรือเปลี่ยนเป็นรับประทานยำแทน
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอื่นๆ เช่น งดสูบบุหรี่ ควบคุมนำ้หนักไม่ให้มากเกินไป ถ้าเป็นเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงต้องควบคุมนำ้หนักให้ดี
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
แหล่งที่มาข้อมูล: ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

    Wednesday 15 June 2011

    PayPal

    Refunds

    Up to 60 days after receiving payment

    PayPal takes the nightmare out of refunding
    Refunding customers has the potential to get messy. In times like this you want to be sure everyone's happy with the outcome. With PayPal Refunds it's easy to send your customer the right refund in an instant:
    • You can send partial or full refunds.
    • With full refunds your original transaction fee is credited to you.
    • With partial refunds, a portion of the fee is credited to you.
    • Your customer receives the money quickly.
    Send refunds in six quick steps
    1. Log in to your PayPal account
    2. Click "History"
    3. Find the transaction you'd like to refund and click "Details"
    4. Click "Issue Refund"
    5. Enter the refund amount and click Submit
    6. Confirm the amount and click Submit

    PayPal Fees for International Payments

    Saturday 4 June 2011

    โอปอลออสเตรเลีย




     

    ทุกเฉดสีของสายรุ้งปรากฏให้เห็นในโอปอล อัญมณีประจำชาติของออสเตรเลีย    แน่นอนว่าในตำนานของชาวอะบอริจิน สีสันอันคละเคล้าเหล่านั้นย่อมถูกสรรค์สร้างขึ้นเมื่อสายรุ้งสัมผัสผิวโลก  ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ผลิตโอปอลมากถึง 95% ของโลก ทำให้อัญมณีอันงามอย่างสะกดใจนี้เป็นของที่ระลึกที่แสดงความเป็นออสเตรเลียอย่างแท้จริง   โอปอลของเรามีหลากชนิด นับจากชนิดธรรมดาที่สุดที่เป็นสีขาวหรือโอปอล “สีน้ำนม” ที่พบในเมือง Coober Pedy ไปจนถึงโอปอลดำจากเขต Lightning Ridge   เที่ยวแหล่งสายแร่โอปอลอันมีชื่อเสียง หรือซื้อโอปอลจากร้านขายโอปอลโดยเฉพาะซึ่งมีทั่วประเทศ

     เมืองสำคัญของออสเตรเลียทุกแห่งรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนมีร้านขายสินค้าเฉพาะอย่างซึ่งคุณสามารถซื้อเครื่องประดับโอปอลเป็นชุด หรือชิ้นเดี่ยว รวมถึงชนิดที่ยังไม่ได้เจียระไน   โอปอลดำมีมูลค่าสูงสุด รองลงมาได้แก่ โบลเดอร์โอปอลที่มีพื้นหลังเป็นสีเข้มตามหินที่ผลึกโอปอลเกาะ คริสตัลโอปอล และโอปอลขาว   การจัดอันดับมูลค่าขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่ายิ่งอัญมณีมีสีเข้มมากเท่าใด ก็ยิ่งเปล่งสีสันได้สดใสขึ้นเท่านั้น แม้กระนั้น อัญมณีแต่ละเม็ดก็ยังแตกต่างกันไป

     สำหรับการผจญภัยในถิ่นโอปอล เยี่ยมแหล่งสายแร่โอปอลทั่วเขตชนบทห่างไกลในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย นิวเซาท์เวลส์ และควีนส์แลนด์   แหล่งสายแร่โอปอลเหล่านี้ตั้งอยู่ในเขต Great Artesian Basin ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลในแผ่นดินอันกว้างใหญ่   โอปอลสร้างชีวิตชีวาให้โลกใต้น้ำดึกดำบรรพ์แห่งนี้ด้วยสีฟ้าเขียวที่ใสกระจ่าง และสายแร่ที่ดูคล้ายแนวปะการัง   โอปอลยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “ไฟแห่งทะเลทราย” และมีการทำเหมืองโอปอลกันในเขตพื้นที่อันร้อนระอุที่สุดและไม่อำนวยต่อการอยู่อาศัยที่สุดของออสเตรเลีย  เวลาที่เหมาะที่สุดในการมาเยือนแหล่งสายแร่โอปอลอยู่ระหว่างเดือนเมษายนและเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศสบายกว่าเวลาอื่น

     Coober Pedy เมืองทำเหมืองของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย มีความประหลาดกว่าที่อื่นด้วยคนท้องถิ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใต้ดินเพื่อหลบความร้อนอันรุนแรงในช่วงฤดูร้อน  เข้าพักในโรงแรมที่สร้างไว้ใต้ดินและเยี่ยมชมบ้านเรือน โบสถ์และร้านค้าต่างๆ   ข้างบนดิน ชมเหมืองและแหล่งสายแร่โอปอล และการสาธิตวิธีตัดแร่โอปอล   เช่ารถโฟร์วีลขับเที่ยวหนึ่งวันไปยังเมืองที่มีเหมืองโอปอลอื่นๆ เช่น Andamooka, Mintabie และ Roxby Downs   แหล่งสายแร่โอปอลของรัฐเซาท์ออสเตรเลียเหล่านี้ผลิตโอปอลขาวหรือโอปอลสีน้ำนมรวมกันได้มากที่สุดในโลก


    Black Opal
     

    โอปอลดำเป็นสิ่งที่แสวงหากันมากที่สุดในโลก และมีการทำเหมืองอยูที่ Lightning Ridge ซึ่งอยู่ห่างจากซิดนีย์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเกือบ 800 กม.    นักแสวงโชคได้มุ่งหน้ามาที่นี่นับแต่ทศวรรษที่ 1800 ในปัจจุบันที่นี่ยังเป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อแสวงหาประสบการณ์ในชนบทห่างไกล  เที่ยวชมเหมืองที่ Bald Hill ซื้อของที่ระลึกหรือเล่นกอล์ฟบนแหล่งที่เคยมีสายแร่โอปอล    พักผ่อนในสปาบ่อบาดาลที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เดินเที่ยวในภูมิประเทศอันเป็นหลุมเป็นบ่อ และส่องนก    เมืองแห่งนี้เป็นที่ซึ่งคุณจะได้ชม Black Opal Rodeo และการแข่งแพะในช่วงเทศกาลอีสเตอร์และงาน Lightning Ridge Opal Festival ในเดือนกรกฎาคม

     เส้นทางโอปอลพาคุณลัดเลี้ยวเข้าไปในแผ่นดินสู่เมือง White Cliffs ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพลุกพล่านแต่ปัจจุบันมีผู้อยู่อาศัยหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยคน   สำรวจทางเดินในเหมืองเก่าซึ่งคนท้องถิ่นใช้เป็นที่พักอาศัยในช่วงฤดูร้อน และชมคริสตัลโอปอลอันสุกใสซึ่งมีมูลค่าจากความแวววาวและความกระจ่างใสของสีสัน
     โบลเดอร์โอปอลที่มีพื้นหลังเป็นสีเข้มตามหินที่ผลึกโอปอลเกาะนั้นพบได้เฉพาะในควีนส์แลนด์ซึ่ง คุณสามารถตามหาได้จากเมืองอันห่างไกลโดยรอบ เช่น Quilpie, Yowah และ Opalton  ซื้อโอปอลดิบและที่เจียระไนแล้วที่งานเทศกาล Yowah Opal ในเดือนกรกฎาคม หรือเยี่ยมเมือง Opalton ที่ขุดพบโอปอลชิ้นใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมาในปี 1899

     ตามล่าโอปอลในเขตชนบทห่างไกล หรือเลือกซื้อโอปอลของคุณที่ร้านค้าในเมือง   แต่ไม่ว่าด้วยวิธีใด อัญมณีที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของออสเตรเลียจะเตือนให้คุณรำลึกถึงการผจญภัยในออสเตรเลียได้อย่างมีสีสัน
     
    โอปอลเป็นแร่ชนิดหนึ่งในตระกูลควอทซ์ และที่พบในนิวเซ้าท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลียนี้ จะเกิดแทรกอยู่ในหินชั้น และไม่เป็นผลึก โอปอลมีเนื้อพลอยเป็นซิลิกา และมีน้ำปะปนอยู่ ในปริมาณที่ไม่แน่นอนเท่าใดนัก ประมาณ 1 - 2% หรือ 6 - 10%

    ในกลุ่มโอปอลมีค่า น้ำที่แทรกตัวอยู่นี้อาจจะระเหยไปโดยง่ายเมื่อได้รับความร้อน ซึ่งจะทำให้พลอยแตกและในที่สุดสีจะจางลง หรือความสุกใสที่เคยปรากฏก็จะหายไป หรือทั้งรังสีและความสุกใสจะสูญไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้โอปอลยังสามารถที่จะดูดซึมของเหลวทั้งหลายทั้งมวลได้

    ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเก็บรักษาโอปอลไว้ให้ห่างจากน้ำมัน และน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ให้มากที่สุด




    เนื่องจากว่าโอปอลมีปริมาณ น้ำที่ไม่แน่นอน ปะปนอยู่ทำให้ทั้งน้ำหนัก (หรือความถ่วงจำเพาะ ซึ่งเท่ากับ 1.98 - 2.20) และความแข็ง (5.5 - 6.5 ตามโมห์สเกล) ของโอปอลแต่ละเม็ด แตกต่างกันออกไป ถ้ามีปริมาณน้ำมาก ในขณะที่โครงสร้างของเนื้อพลอย จับตัวกันอย่างหลวมๆ และจะทำให้ ทั้งน้ำหนัก และความแข็งลดน้อยลง ปริมาณน้ำในเนื้อพลอย ก็ยังมีผลต่อค่าดัชนีหักเห อีกด้วย ค่าดัชนีหักเห (1.44 - 1.46) จะสูง ถ้ามีน้ำปนอยู่มาก

    และที่แตกต่างไปจากพลอยประเภทอื่นๆ ก็คือ โอปอล จะไม่มีรอยแตกแนวเรียบ (Cleavage) แต่มีรอยแตก ปรากฏเป็นรูปก้นหอย (Conchoidal Fracture) และเมื่อนำไปผ่านแสงอุลตร้าไวโอเลต ช่วงคลื่นสั้น จะเรืองแสงสีเขียว และจะแสดง คุณสมบัติโอปอลเลสเซนต์ (Opalescent) ให้เห็น คือจะมีสีออกน้ำนม และเหลือบสีคล้ายเปลือกมุก
       

    สีของโอปอลเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ถ้าจะต้องสาธยายเรื่องการเกิดสี ของโอปอล ให้แจ่มกระจ่างละก็ น่ากล่าวถึง การจำแนกประเภท ของโอปอลเสียก่อนว่า มีอะไรบ้าง และต่างกันอย่างไร

    โอปอลแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ โอปอลมีค่า (Precious Opal) และโอปอลธรรมดา (Common Opal) ซึ่งมีโครงสร้างต่างกัน จากการศึกษาโครงสร้าง ของโอปอล ภายใต้อีเลคตรอนไมโครสโคป พบว่าโครงสร้างของโอปอลมีค่านั้น ประกอบขึ้นจาก อานุภาคทรงกลม ซิลิกาขนาดเล็กๆ เท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกันมาก และเรียงตัวอย่างมีระเบียบ ส่วนโอปอลธรรมดานั้น มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ออกไปคือ อานุภาคซิลิกามีรูปร่างไม่แน่นอน ขนาดก็ไม่สม่ำเสมอ การเรียงตัวก็ไม่เป็นระเบียบอีกด้วย โครงสร้างที่ว่านี้ มีผลทำให้โอปอล ทั้งสองประเภท มีการเกิดสีที่ไม่เหมือนกัน

    สีของโอปอลธรรมดา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะแสง เพราะการเรียงตัวของซิลิกา ที่ไม่เป็นระเบียบ หรืออนุภาคซิลิกาที่มีขนาดเล็กเกินไป (0.001 ซม.) จึงไม่สามารถทำให้ แสงสีขาว (แสงแดด) แตกตัว เป็นสีรุ้งได้ แต่การเกิดสีนั้น เกิดขึ้นเพราะมีมลทินแปลกปลอม แทรกอยู่ใน เนื้อพลอย มลทินแต่ละชนิด จะให้สีที่ต่างกัน เช่น ถ้ามีซินนาบา ปนอยู่โอปอลจะมีสีแดง ถ้ามีแร่ออร์พิเมนท์ แทรกอยู่จะให้สีส้มออกเหลือง ถ้ามีเหล็กออกไซด์ ปนอยู่โอปอลจะมีน้ำตาล หรือน้ำตาลแกมแดง และถ้ามีแมงกานีสออกไซต์ แทรกอยู่โอปอลจะมีสีดำ

    ส่วนการเกิดสีของโอปอลมีค่านั้น ต่างกันลิบลับ กับการเกิดสีของโอปอลธรรมดา สีของโอปอลมีค่า ไม่ได้เกิดจากมลทิน แต่เกิดขึ้นเนื่องจาก การเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ของอนุภาคทรงกลมซิลิกา จึงทำให้แสง ที่ตกกระทบนั้น แตกตัวเป็นสีรุ้งได้ เมื่อพลิกโอปอลมีค่า ไปมา จะเห็นประกายสี (Play of Colour) เป็นสีต่างๆ ขึ้นอยู่กับแสง ที่ตกกระทบ กับผิวโอปอล แสงสีขาว (แสงแดด) ที่ตกกกระทบลงบนผิว ของอนุภาคทรงกลมซิลิกาจะแตกตัวให้แสงสีรุ้ง ซึ่งมีความยาวคลื่นต่างกัน จากสั้นไปยาว ดังนี้ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง แสงสีรุ้งเหล่านี้จะหักเห สะท้อน กระจัดกระจาย และประสานกันไปมาทุกทิศทุกทาง

    อนุภาคทรงกลมซิลิกาขนาดเล็ก จะเกิดปฏิกิริยาแสง กับแสงที่มีคลื่นสั้น และจะเห็นพลอย เป็นสีที่มีคลื่นสั้น เท่ากัน และที่สั้นกว่า เช่น อนุภาคทรงกลมซิลิกาขนาดเล็ก ที่เกิดปฏิกิริยาแสง กับแสงที่มีคลื่นสั้น เท่ากับแสงสีม่วง ก็จะเห็นพลอยเป็นสีม่วง และถ้าแสงมีคลื่นสั้น เท่ากับแสงสีคราม ก็จะเห็นพลอยมีสีคราม และม่วง

    ส่วนอนุภาคทรงกลมซิลิกา ขนาดกลาง จะเกิดปฏิกิริยาแสง กับแสงที่มีความยาวคลื่นขนาดกลาง และจะเห็นพลอยเป็นสี ที่มีคลื่นขนาดกลาง จะเกิดปฏิกิริยาแสง กับแสงที่มีความยาวคลื่นขนาดกลาง และจะเห็นพลอยที่เป็นสี ที่มีคลื่นขนาดกลาง และที่สั้นกว่า เช่น อนุภาคทรงกลมซิลิกาขนาดกลาง จะเกิดปฏิกิริยา
       
    แสง กับแสงที่มีคลื่นขนาดกลาง เท่ากับแสงสีน้ำเงิน ก็จะเห็นพลอยมีสีน้ำเงิน คราม และม่วง

    และอนุภาคทรงกลมซิลิกาขนาดใหญ่ จะเกิดปฏิกิริยาแสง กับแสงที่มีคลื่นยาว และจะเห็น พลอยเป็นสีที่มีคลื่นยาว เท่ากัน และที่สั้นกว่า เช่น อนุภาคทรงกลมซิลิกา ขนาดใหญ่ จะเกิดปฏิกิริยาแสง กับแสงที่มีคลื่นยาว เท่ากับแสงสีแดง ก็จะเห็นพลอยสีแดง ไล่ลงไป ถึงสีม่วง คือมีทุกสีนั่นเอง

    โอปอลที่มีสีแดง ถือว่ามีคุณค่ามาก และราคาก็แพงตามไปด้วย เนื่องจากโอปอลส่วนมาก จะมีขนาดของอนุภาคทรงกลมซิลิกาขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.00025 มม.) จึงไม่ค่อยพบ โอปอลที่มีสีแดงปนอยู่ โอปอลจะมีสีแดงได้นั้น จะต้องมีขนาดของอนุภาค ทรงกลมซิลิกาประมาณ 0.0003 มม. ขึ้นไป

    โอปอลมีค่า (Precious Opal)

    ที่ได้ชื่อว่ามีค่า (ราคาก็แพง) นั้นก็เพราะ ประกายสี ที่โดดเด่น และสีพื้นหลัง (Background Colour หรือ Body Colour) ของพลอยแต่ละเม็ด เมื่อส่องดูใต้ดวงไฟ สีพื้นหลังที่ว่านี้ อาจเป็นสีขาวขุ่น เทาอ่อน เทาแก่ สีดำ หรืออาจไม่มีสีเลย

    โอปอลกลุ่มนี้ จะเล่นสี และเกิดประกายสี ที่สะท้อน ออกมา จากตัวพลอยเอง มิได้เกิดจาก มลทินใดๆ ที่อาจปะปนอยู่ และประกายสีนี้ จะอยู่ไม่ลึก ลงไปจากผิวพลอย เท่าใดนัก (จึงไม่มีการเจียระไน เป็นเหลี่ยม) และประกายสีนั้น อาจเกิดขึ้นทั่ว ผิวหน้าพลอย หรืออาจขึ้น เป็นจุดสี

    มีความวาว (Luster) ไม่สูงนัก คือ วาวคล้ายเนื้อแก้ว (Vitreous Sub-vitreous) ความแข็งค่อนข้างต่ำ ปกติจะมีความโปร่งแสง (Translucent) แต่บางครั้งอาจโปร่งใส (Transparent) ซึ่งจะทำให้มองทะลุ เห็นพื้นหลังของพลอยได้

    โอปอลมีค่ายังจำแนกย่อยลงไปอีกดังนี้
    1. โอปอลดำ (Black Opal) อันที่จริงไม่ได้มีสีดำตามชื่อ แต่เมื่อนำไปส่องใต้ดวงไฟ จะเห็นพื้นหลังเป็นสีดำ บางครั้งอาจมีสีน้ำเงิน น้ำตาล หรือเทา อย่างไรก็ตาม โอปอลดำอาจมีเหล็กออกไซด์ปะปนอยู่ ซึ่งจะทำให้เห็นเป็นสีดำได้เช่นกัน ส่วนเนื้อหน้าของพลอย จะมีการเล่นสี และให้ประกายสี ที่หลากหลาย ที่พบบ่อยๆ คือ เขียว น้ำเงิน แสด และเหลือง เมืองไลท์นิง ริดจ์ ใน นิวเซ้าท์เวลส์ ถือเป็นแหล่งใหญ่ ที่มีโอปอลดำอยู่มาก
    2. ไลท์โอปอล (Lignt Opal) บางครั้งอาจเรียกว่าโอปอลวุ้น (Jelly Opal) หรือโอปอลผลึก (Crystal Opal) มีสีใสหรือขาวขุ่น พบมากที่ ไวท์ คลิฟ ใน นิวเซ้าท์เวลส์ 
    3. โอปอลไฟ (Fire Opal) มีความโปร่งใส ถึงโปร่งแสง มีสีเหลืองอมน้ำผึ้ง และมีประกายสีเป็นสีแดง และเขียว ที่เรียกว่าโอปอลไฟ ก็เพราะเมื่อส่องดูใต้ดวงไฟจะเห็นลักษณะคล้ายเปลวไฟ
    4. โอปอลโบลเดอร์ (Boulder Opal) เกิดเป็นสายแร่ หรือเกิดในช่องว่างของหินทราย หรือหินดินดาน ที่มีธาตุเหล็กปนอยู่

    ประกายสีของโอปอลมีค่า ยังมีลักษณะเด่น อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อใดที่พลิกโอปอลเอียงไปมา จะเห็นประกายสี ปรากฏเป็นลวดลายสีต่างๆ (Pattern of the Play of Color) ซึ่งมีดังนี้
    1. ฮาร์ลิควิน แพทเทิน (Harlequin Pattern) ลวดลายของประกาย มีลักษณะคล้ายแผ่นปะสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่มีขนาดไม่สม่ำเสมอ
    2. พินไฟ แพทเทิน (Pinfire Pattern) ลวดลายของประกายสี เป็นจุดสี 
    3. แฟลช แพทเทิน (Flash Pattern) ลวดลายของประกายสี จะปรากฏให้เห็น หรือหายไป หากเปลี่ยนมุมมอง หรือเมื่อหมุนพลอยไปมา
    โอปอลมีค่า ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดนั้น มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพลอยเอง และความหนาแน่นของแถบสี


    1. โซลิด โอปอล (Solid Opal) ถือว่ามีค่ามากที่สุด ถ้าเจียระไนมาจากหิน ที่มีแถบสีหนา มีลวดลายของประกายสีสม่ำเสมอ และมีสีเข้ม
    2. ดับเลิทส์ (Doublets) ประกอบขึ้นจากโอปอลมีค่า และโอปอลธรรมดารวมกัน โอปอลธรรมดา จะถูกทาไว้ด้วยสีดำ (ยางอีพอกซี) และนำชิ้นส่วนเล็กๆ ของโอปอลมีค่าติดกาวปะลงไปบนโอปอลธรรมดา ที่ใช้เป็นพื้นหลัง พื้นสีดำนั้น จะช่วยขับสีโอปอลให้เด่นชัดขึ้น
    3. ทริพเลิทส์ (Triplets) ทำขึ้นโดยปะควอทซ์ใส พลาสติกใส หรือแก้วทับลงไปบนดับเลิทส์ ชิ้นส่วนของโอปอลมีค่า ที่ใช้นี้บางกว่าที่ใช้ทำดับเลิทส์ ฉะนั้นราคาจึงถูกกว่า
    โอปอลธรรมดา (Common Opal) 
    มีความวาวคล้ายยางไม้ (Resinous) ส่วนใหญ่จะทึบแสง (Opaque) และไม่มีประกายสี สีที่เห็นนั้น เกิดจากมลทิน ที่ปะปนอยู่

        โอปอลธรรมดา แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
    1. ไฮยาไลท์ (Hyalite หรือ Mullers Glass) เป็นโอปอลที่ไม่มีสี ดูคล้ายเนื้อแก้ว อาจมีแต้มสีจางๆ ซึ่งอาจเป็น สีน้ำเงิน เขียว หรือ เหลือง แต่หาได้ยากมาก
    2. ไฮโดรเฟน (Hydrophane) มีลักษณะพรุน และทึบแสง แต่จะเปลี่ยนเป็นโปร่งใสได้ถ้าจุ่มลงไปในน้ำ
    3. โอปอลยางไม้ (Resin Opal) มีสีดำ หรือน้ำตาล และมีความวาวคล้ายยางไม้
    4. พอทช์ (Potch) จะทึบแสง อาจขาวขุ่น หรือมีสีเท่าอ่อน ถึงเทาแก่ เทาอมน้ำเงิน หรือดำ ส่วนสีของ แมกพายพอทช์ (Magpie Potch) จะมีลักษณะคล้ายแผ่นปะ สีขาวปนดำ และที่เป็นสีอำพัน ก็เคยพบที่เมืองไลท์นิง ริดจ์
    จะประเมินค่าโอปอลอย่างไร

    การประเมินค่าโอปอลถือว่ายากมาก ต้องอาศัยประสบการณ์อันช่ำชอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเพียงพอ ที่จะประเมินค่าโอปอลได้โดยง่าย เพราะในปัจจุบัน ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวใดๆ ที่จะใช้ช่วยประเมินค่าได้

    อย่างไรก็ตาม การพิจารณาดูสี ของโอปอล ซึ่งเป็นจุดเด่น ของพลอยประเภทนี้ คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะใช้ประเมินค่าได้
    1. สีพื้น (Body colour) โอปอลสีดำ หรือสีเข้ม จะมีค่าสูงกว่าโอปอลสีขาว หรือไลท์โอปอล
    2. ประกายสี (Play of colour) เมื่อพิจารณาจากด้านหลังของพลอย พลอยควรจะมีประกายสี โดยทั่วผิวหน้า 
    3. ลวดลายของประกายสี (Pattern of the Play of Colour) ฮาร์ลีควิน หาได้ยากที่สุด และมีคุณค่ามากที่สุด
    4. ความเข้ม และความสุกใสของประกายสี (Intensity และ Brilliance) สีรุ้งต้องสด สุกใส และคมชัด ซึ่งต้องขึ้นอยู่ กับความโปร่งใสอีกด้วย โอปอลผลึก ถือได้ว่ามีค่าสูงสุด หากพิจารณาจากคุณสมบัติข้อนี้
    5. ประกายสีรุ้ง (มีครบทุกสี) ถือว่ามีค่าสูงสุด โดยเฉพาะสีแดง หรือสีม่วง เพราะหาได้ยากเช่นกัน
    ในการประเมินค่า นอกจากจะต้องดูสีแล้ว ยังต้องดูถึงขนาด และการเจียระไนด้วย ว่าดีแค่ไหน รอยแตกมีหรือไม่ ส่วนรูปร่างของพลอยไม่สลักสำคัญอะไร

    หากเป็นนักอัญมณี หรือเกี่ยวข้องอยู่กับธุรกิจอัญมณีแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ น่าจะรู้ว่า โอปอลดีหนึ่ง ประเภทหนึ่งนั้น มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร โอปอลเกรด A 1 นั้น ต้องมีคุณสมบัติเป็นดังนี้ เป็นโซลิด โอปอล มีสีพื้นเข้ม มีลวดลายของประกายสี เป็นแบบฮาร์ลีควิน มีประกายส ีทั่วผิวหน้าพลอย มีความโปร่งใส และสุกใส และต้องมีสีแดงมากพอสมควร หรือมีสีม่วงอยู่ด้วย