Sunday 28 August 2011

สารต้านอนุมูลอิสระทำอะไรให้คุณได้บ้าง

  • ชะลอกระบวนการชรา 
  • ลดระดับคอเลสเตอรอล 
  • ลดความเสียงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง 
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคเส้นโลหิตในสมองตีบ 
  • ลดความเสียงของการเกิดมะเร็งทุกชนิด 
  • ช่วยชะลออาการของโรคอัลไซเมอร์ 
  • ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกต่างๆ 
  • ช่วยร่างกายขับสารพิษก่อมะเร็ง 
  • ปกป้องดวงตาของคุณจากโรคศูนย์กลางจอประสาทเสื่อม 
  • ช่วยร่างกายต่อสู่กับความเสื่อมที่เกิดจากการสูบบุหรี่ 
  • ช่วยป้องกันเรื่องปอดเรื้อรังต่าง เช่น หอบหืด หลอดลมอักเสบ 
  • เป็นเกราะป้องกันมลพิษจากสิ่งแวดล้อม
บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ 
ทำไมการที่สารต้าน อนุมูลอิสระสามารถป้องกันหรือกำจัดอนุมูลอิสระได้จึงมีความสำคัญ มีงานวิจัยมากมายบ่งชี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรคโดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่ สัมพันธ์กับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมอง (เช่น อัลไซเมอร์) เป็นต้น รวมทั้งช่วยชะลอกระบวนการบางขั้นตอนที่ทำให้เกิดความแก่โดยปกติร่างกาย สามารถกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำอันตราย แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระเร็วหรือมากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดทัน อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สารต้านอนุมูลอิสระลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้ ๒ ทาง คือ
  1. ลดการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย
  2. ลดอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระไม่สามารถแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สามารถชะลอให้ความเสียหาย เกิดช้าลงได้โดยเฉพาะโรคเรื้อรังซึ่งเป็นผลลัพธ์สะสมที่เกิดจากเซลล์และ เนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำอันตรายและเสียหายเป็นปีๆ (โดยมากเป็นเวลาหลายสิบปี) เห็นได้จากการรวบรวมความชุกของโรคว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นมากในผู้ใหญ่วัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ ดังนั้นบุคคลทุกเพศทุกวัยจึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระให้พอเพียงต่อความ ต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายระหว่างสารต้านอนุมูลอิสระ และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น

เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระพอเพียง กับความต้องการ เราควรกินผักผลไม้สีเข้มเป็นประจำโดยล้างให้สะอาดทุกครั้ง นอกจากจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังจะได้รับใยอาหารด้วย ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับใยอาหารเช่นกัน เนื่องจากใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ช่วยป้องกัน อาการท้องผูก ช่วยนำโคเลสเตอรอลออกจากร่างกาย เร่งการนำสารพิษที่อาจทำให้เป็นมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกายเร็วขึ้น สุดท้ายผู้เขียนขอแนะนำข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ดังนี้

ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
  1. กินผัก ผลไม้ ถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง เช่น (เต้าหู้หลอด เต้าหู้แผ่น) และธัญพืชเป็นประจำ 
  2. ลด การกินไขมัน อย่าให้เกิน ร้อยละ ๓๐ ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน ลดไขมันจากสัตว์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีกรดไขมันกลุ่มทรานส์แฟตตีแอซิด (trans fatty acid) เช่น มาร์การีน เนยขาว โดนัต มันฝรั่งทอด เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid) สูง เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา น้ำมันมะกอก 
  3. กินอาหารให้หลากหลาย กินปลา ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ลดปริมาณเนื้อแดงที่บริโภคลง 
  4. ลดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ไม่ควรกินเกินวันละ ๓๐๐ มิลลิกรัม 
  5. เพิ่มการกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว ธัญพืช มันฝรั่ง 
  6. ลดอาหารเค็ม ดื่มน้ำสะอาดวันละ ๑-๒ ลิตร 
  7. ดื่มนมพร่องไขมัน 
  8. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม 
  9. ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง 
  10. งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์

***  อย่าลืม ออกกำลังกายทุกวันโดยไม่หักโหม
 

Tuesday 2 August 2011

Liver Balance ( มิลค์ทิสเทิล)


ส่วนผสมหลักของ BIOSIS Liver Balance เพื่อสร้างสมดุลของตับซึ่ง Milk Thistle ทำหน้าที่ในการปกป้องและป้องกันตับ

Milk Thistle ( มิลค์ทิสเทิล ) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในยุโรป เป็นยาสำหรับผู้ที่มีปัญหาที่ตับเป็นพัน ๆ ปี การใช้งานถูกบันทึกเป็นครั้งแรกในรอบ 23-79 AD ชาวกรีกตั้งข้อสังเกตว่าต้นพืชที่ดีเยี่ยมสำหรับการป้องกันตับ ส่วนที่มีการนำมาใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคคือเมล็ด มีสารสำคัญคือ Silymarin ซึ่ง Silymarin ประกอบด้วยสาร Flavanolignans หลายชนิด

BIOSIS Liver Balance มีคุณประโยชน์ดังรายละเดียดต่อไปนี้
•    มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมฤทธิ์ในการขจัดอนุมูลอิสระ
•    ป้องกันและลดจากการถูกทำลายชองตับ
•    ช่วยเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต
•    ช่วยล้างสารพิษและสารที่ตกค้างในตับ

เหมาะสำหรับ
•    ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นประจำ
•    ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจะ
•    ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
•    ผู้ที่ติดสารเสพติด
•    ผู้ที่ระบบการย่อยอาหารไม่ดี
•    ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนา
•    ผู้ที่สัมผัสสารกำจัดศัตรูพืช หรือ สารเคมี
•    ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษต่าง ๆ
•    ผู้ที่กำลังพยายามลดไขมันในร่างกาย

Link:
จำหน่ายที่ www.bh4you.com
แหล่งข้อมูล ที่มาของสินค้า 

Saturday 30 July 2011

ผลิตภัณฑ์ล้างพิษและฟื้นฟูเซลล์ตับ

High Strength มิลล์ทิสเทิล 3200 มิลิกรัม จำนวน 90 แคปซูล

 

ช่วยล้างพิษ ฟื้นฟูและป้องกันตับ ช่วยเร่งขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายและจากการถูกทำลายเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ   เช่น มลภาวะเป็นพิษ สารพิษจากสารเคมีและการบริโภค

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

  • มีฤิทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ป้องกันและลดการทำลายตับจากสาเหตุความเครียด การสูบบุหรี่และดื่มสุรา 
  • ช่วยป้องกันการเมาค้างและป้องกันตับจากแอลกอฮอล์ได้
  • ป้องกันและรักษาตับ ช่วยให้ตับมีสมรรถภาพที่ดีขึ้น
  • ป้องกันเซลล์ตับจากการถูกทำลายจากสารพิษและเชื้อโรค 
  • วิตามินดี บี6  ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยฟื้นฟูตับจากความเสียหายที่เกิดจากพิษที่สะสมในตับและพิษที่เราได้รับในชีวิตประจำวัน
  • ช่วยบำรุงเซลล์ตับให้แข็งแรงเพื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยให้ตับสังเคราะห์กลูต้าไธโอนได้มากขึ้น เพื่อให้กำจัดสารพิษประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • กำจัดไขมันออกจากระบบทางเดินอาหารและกระแสเลือด และปรับให้ตับและถุงน้ำดีทำการกำจัดไขมันตกค้างได้ดียิ่งขึ้น
**** เหมาะสำหรับผู้ที่ดื่มสุราจัด หรือ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด

มิลล์ทิสเทิล

Milk Thistle ( มิลค์ทิสเทิล )






Milk Thistle หรือ St Mary's Thistle มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Silybum marianum (L.) Gaertn. เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่​ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และถูกนำไปแพร่หลายในยุโรป อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ก้านและใบอ่อนนิยมใช้ทำสลัด​ ส่วนที่มีการนำมาใช้เพื่อป้​ องกันและรักษาโรคคือเมล็ด มีสารสำคัญคือ Silymarin ซึ่ง Silymarin ประกอบด้วยสาร Flavanolignans หลายชนิด เช่น Silybin Silychristin และ Silydianin เป็นต้น ในประเทศเยอรมัน ใช้เมล็ดในการรักษาอาการดีซ​่าน อาการผิดปกติของตับและน้ำดี​ ตับอักเสบและโรคริดสีดวงทวา​ร จากหลักฐานทางคลินิกพบว่า สารสกัดจาก Milk Thistle ที่มีองค์ประกอบหลักเป็น Silymarin สามารถรักษาโรคตับอักเสบได้​ โดยที่ Silymarin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ในการป้องกันตับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  1. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ 1.1 Silybin และ Silydianin สามารถยับยั้งการสร้าง Superoxide และ Hydrogen peroxide ในเม็ดเลือดขาว 1.2 Silybin ช่วยเสริมฤทธิ์ในการขจัดอนุ​มูลอิสระของเอ็นไซม์ Superoxide dismutase และ Glutathione peroxidase ในเม็ดเลือดแดง 
  2. เพิ่มปริมาณ Glutathione ซึ่ง Glutathione เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้น​เพื่อช่วยขจัดสารพิษ 
  3. ฤทธิ์ในการควบคุมการซึมผ่าน​ของเซลล์เมมเบรนและเพิ่มควา​มคงทนของเซลล์ต่อการบาดเจ็บ​จากภายนอก4. ฤทธิ์ในการเพิ่มการสังเคราะ​ห์ Ribosomal RNA และ โปรตีน ทำให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่​ 5. ฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ Silybin Silychristin และ Silydianin สามารถยับยั้งการสร้าง Prostaglandins (ศึกษาในหลอดทดลอง)6. ฤทธิ์ในการปกป้องตับจากสารพ​ิษ พบว่าสารสกัดจาก Milk Thistle ที่มีสาร flavanolignans เป็นองค์ประกอบหลัก สามารถลดความเป็นพิษต่อเซลล​์ของ Carbon tetrachloride และ Galactosamine (ศึกษาในหลอดทดลอง) นอกจากนี้การทดลองในสัตว์ยั​งพบว่า Silymarin และ Silybin ยังสามารถปกป้องตับจากการได​้รับสาร Ethanol, Paracetamol, Lanthanides, FV3 virus, โลหะหนัก และ Thioacetamide นอกจากนี้ Silymarin ยังสามารถใช้ในการป้องกันแล​ะรักษาในกรณีที่ได้รับเห็ดพ​ิษบางชนิด เช่น Amanita phalloides โดยป้องกันไม่ให้สารพิษจากเ​ห็ดจับกับเซลล์ตับ และป้องกันการแทรกซึมผ่านขอ​งสารพิษสู่เซลล์ตับ และยังพบว่า Silymarin สามารถป้องกันตับถูกทำลายจา​กเชื้อ Plasmodium berghei ได้

การทดลองในคนสุขภาพดีเมื่อใ​ห้รับประทานผลิตภัณฑ์ Silymarin 3 ชนิดพบว่าประมาณ 20-50 % ของ Silymarin สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย​ และประมาณ 80 % จะขับออกทางน้ำดี นอกจากนี้พบว่าสารกลุ่ม Flavanolignans จะสะสมอยู่ที่ตับและน้ำดี

การทดสอบความเป็นพิษ พบว่า Silymarin มีความเป็นพิษต่ำ เมื่อให้ในขนาด 20 ก/กก ในหนู และ ในขนาด 1 ก/กก ในสุนัขพบว่าไม่ทำให้สัตว์ท​ดลองตาย และ ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ และการศึกษาความเป็นพิษเรื้​ อรังพบว่าการให้ Silymarin ในขนาด 100 มก/กก ในสัตว์ทดลอง เป็นเวลา 16-22 สัปดาห์ ปรากฏว่าไม่พบอาการพิษ และ ไม่เป็นพิษต่อทารกในครรภ์ (teratogenic effect) Silymarin สามารถยับยั้งการเจริญเติบโ​ตของเซลล์มนุษย์และทำให้ DNA ถูกทำลายได้เมื่อได้รับในขน​าดที่สูงมาก

อาการไม่พึงประสงค์ การศึกษาในผู้ป่วยมากกว่า 3,500 คน พบว่าเพียงแค่ 1 % พบอาการไม่พึงประสงค์ซึ่งส่​วนใหญ่จะมีปัญหาเกี่ยวกับระ​บบทางเดินอาหาร การรับประทานผลิตภัณฑ์ของ Milk Thistle พบว่ามีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อ​นๆ
สำหรับอาการไม่พึงประสงค์ชน​ิดอื่นมีดังนี้

กรณี ศึกษาที่ 1 มีรายงานที่ผู้ป่วย 1 ราย ทานสารสกัด Milk Thistle แล้วเกิดอาการแพ้แบบ Anaphylactic Shock ผู้ป่วยรายนี้มีประวัติการแ​พ้ Kiwi fruit แบบ immediate type allergy มาก่อน
กรณี ศึกษาที่ 2 มีรายงานที่ชายชราอายุ 54 ปีดื่มชา Milk Thistle แล้วเกิดอาการบวมที่หน้า บวมที่เยื่อบุช่องปาก กดการหายใจ หลอดลมบีบเกร็ง ความดันลดลง เมื่อทำ skin prick test พบว่าผู้ป่วยรายนี้เกิดอากา​รแพ้แบบ immediate type reaction ต่อสารสกัดจากเมล็ดของสารสก​ัดจากเมล็ดของ Milk Thistleในประเทศไทยมีการขึ้​นทะเบียน Silymarin ในรูปแบบยาแผนปัจจุบัน ซึ่งมีข้อบ่งใช้ดังนี้

ช่วยให้ตับมีสมรรถภาพที่ดีข​ึ้นในโรคของตับต่อไปนี้
1. ตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน
2. โรคตับแข็ง โรคไขมันสะสมในเนื้อตับ โรคตับอักเสบชนิดเรื้อรัง
3. ตับเสื่อมเนื่องจากสารพิษ

ขนาดและวิธีใช้ โดยทั่วไปผู้ใหญ่รับประทานค​รั้งละ 140 มก วันละ 3 เวลา หลังอาหาร หรือ ตามแพทย์สั่งในรายที่มีอากา​รดีขึ้นแล้วหรือโรคไม่รุนแร​งรับประทานครั้งละ 70 มก วันละ 3 เวลา หลังอาหาร หรือตามแพทย์สั่ง


โดย : ภก.ดร. ฉัตรชัย วัฒนาภิรมย์สกุล


เอกสาร อ้างอิงMills S. and Bone K. 2000. Principles and practice of phytotherapy: modern herbal medicine. Churchill Livingstone, Edinburgh. pp. 553-562.



Link: 
Milk Thistle

Monday 4 July 2011

บทสวดมนต์ (ภาษาอังกฤษ)

Buddhaguna Katha
First, start your chanting with the Vandana, then follow by Ti-Sarana, Tiratanamusarana Katha ( Itipiso ), Putthajayamangkalakatha ( Pahung ), Jayaparittang ( Mahakaruniko ), Sumangkalakatha ( Pawat Tusap ), Katha Puthakun

Vandana
Namo Tassa Bhagavato Arahato Sammasambuddhassa (Repeat 3 Times)

Buddham saranam gacchami
Dhammam saranam gacchami
Sangham saranam gacchami

Dutiyampi Buddha saranam gacchami
Dutiyampi Dhammam saranam gacchami
Dutiyampi Sangham saranam gacchami

Tatiyampi Buddham saranam gacchami
Tatiyampi Dhammam saranam gacchami
Tatiyampi Sangham saranam gacchami

Tiratanamusarana Katha ( Itipiso )
Buddhtang Chivitang yawa nipannang sarang gacchami
Itipi So Phakawa Arahang Samma Samputtho Vitcacaranak Sampanno Sukato Lokavitu Anuttaro Purisatammasarathi SatthaTayvamanusanang Puttho Phakavatik.

Dhammang Chivitang yawa nipannang sarang gacchami
Savakato Phakawata Thammo Santitthiko Akaliko Ayhikpassiko Opaknakyiko Patcattang Vaythitappo Vinyuhiktik

Sanghang Chivitang yawa nipannang sarang gacchami
Supatipanno Phakavato Savakasangko, Ucukpatipanno Phakavato Savakasango Yayakpatipanno Phakavato Savakasango, Samicikpatipanno Phakavato Savakasangko Yathithang: Cattarik Puriksayukanik Atthak Puriksapukkala, Aysak Phakkavato Savakasangko, Ahukneyyo Pahukneyyo Thakkhineyyo Ancaklikaraniyo Anuttarang Punyakkhaytang Lokassaktik.

Putthajayamangkalakatha ( Pahung )
Pahung Sahassama Phinim Mitasa Vutthantang,
Krimay Khalang Utitakho Rasasay Namarang,
Tana Titham Mavitthina Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Mara Tiray Kamaphiyut Cittasap Paratting,
Khoram Pana Lava Kamakkhamma Thadthayakkang,
Khanti Sutan Tavithina Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Nala Kiring Kacavarang Atimat Tapphutang,
Tavat Kicak Kamasani Vasuta Runantang,
Mettam Pussay Kavitthina Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Ukkhit Takkhak kamatihat Thasutta Runantang,
Thavan Tiyo Canapathang Kulima Lavantang,
Itthi Phisang Khatamano Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Katava Nakat Thamtarang Iva Kapphiniya,
Cincaya Tutthavacanang Canaka Yamachey,
Santayna Somavithina Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Sakcang Viha Yamatisak Cakkava Takaytung,
Vata Phiro Pitamanang Atian Thaphutang,
Panya Pati Pacalito Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Nanto Panan Taphucakang Viputthang Mahitthing,
Puttaynat Thayrakphucakayna Tama Payanto,
Itthu Patay Savitthina Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Tukka Hatit Thiphucakayna Sutattha Hatthang,
Prammang Visut Thijuttimit Thipaka Phithanang,
Yana Katay Navithina Cittava Muninto,
Tantay Casa Phavatu Te Cakyamang Kalanik.

Eta Piput Thacayamang Kala Attha Katha
Yo Va Cano Tinatinay Saratay Matanti,
Hitava Nanay Kavivithani Cupat Thavani,
Mokkhang Sukhang Athikmeiya Naro Sapanyo.

Jayaparittang ( Mahakaruniko )
Mahaka Runiko Natho Hitayak Sappapa Ninang
Puray Tava Parami Sappha Pato Sampo Thimut Tamang.
Aytay Nasak Cakvakjay Nak Hotu Te Jayamang Kalang.
Cakyanto Pothiya Mulay Sakyanang Nantivat Thano
Ayvang Tavang Vicayo Hohik Cayassuk Cakyamang Kalay
Aparak Citapallang Kay Sissay Pathavipok Kharay
Aphisaykay Sappah Puttha Nang Akkap Patto Pamo Tatik.
Sunak Khattang Sumang Kalang Supaphatang Suhut Thitang
Sukhano Sumut Hutto Cak Suyitthang Pramhama Carisuk.
Patak Khinang Kayak kammang Vaca Kammang Patak Khinang
Patak Khinang Mano Kammang Panithi Tay Patak Khina
Patak Khinanik Katava Nak Laphan Tathay Patak Khinay.

Sumangkalakatha ( Pawat Tusap )
Pawat Tusap Pamang Kalang Rakkhan Tusap Patay Watta
Sappah Puttha Nuphavaynak Satha Sotthi Pawan Tu Te
Pawat Tusap Pamang Kalang Rakkhan Tusap Patay Watta
Sappah Thamma Nuphavaynak Satha Sotthi Pawan Tu Te
Pawat Tusap Pamang Kalang Rakkhan Tusap Patay Watta
Sappah Sangka Nuphavaynak Satha Sotthi Pawan Tu Te

Katha Puthakun
Itipi So Phakawa Arahang Samma Samputtho Vitcacaranak Sampanno Sukato Lokavitu Anuttaro Purisatammasarathi SatthaTayvamanusanang Puttho Phakavatik.

(Repeat Khat Puthakun your age + 1 times. Eg I'm 20, I'll repeat it for 21times.)

Sabbe satta sukhi hontu
Avera hontu
Abbayapajjha hontu
Anigha hontu
Sukhi attanam pariharantu

Pattidana (Transfer of Merit)
Idam me matapitunam hotu Sukhita hontu matapitaro
Idam me natinam hotu Sukhita hontu natayo
Idam me gurupajjhayacariya nam hotu Sukhita hontu gurupajjhayacariya
Idam sabba devanam hotu Sukhita hontu sabbe deva
Idam sabba petanam hotu Sukhita hontu sabbe peta
Idam sabba verinam hotu Sukhita hontu sabbe veri
Idam sabba sattanam hotu Sukhita hontu sabbe satti

Some of you may think that this is too long for you. But think, good effort produce good results, do this prayer with good concentration and mindfulness and you'll see the difference if you do it constantly for > 3months.


Buddhaguna Translation
Vandana (Homage)
Honour to Him,the Blessed One,the Worthy One,the fully Enlightened One.

Ti-Sarana (The Three Refuges)
I go to the Buddha as my refuge.
I go to the Dhamma as my refuge.
I go to the Sangha as my refuge.

For the second time I go to the Buddha as my refuge.
For the second time I go to the Dhamma as my refuge.
For the second time I go to Sangha as my refuge.

For the third time I go to the Buddha as my refuge.
For the third time I go to the Dhamma as my refuge.
For the third time I go to Sangha as my refuge.

Salutation To The Buddha
Such indeed is that Blessed One,Exalted, Omniscient, endowed with knowledge and virtue, Well-gone, knower of the worlds, a Guide incomparable for the training of individuals, Teacher of gods and men, Enlightend and Holy.

Saution To The Dhamma
Well-expounded is the Dhamma by the Blessed One to be self-realized; with immediate fruit; inviting to come and see; capable of being enterd upon; to be attained by the wise,each for himself.

Salution To The Sangha
Of good conduct is the Order of the Disciples of the Blessed One. Of upright conduct is the Order of the Blessed One. Of wise conduct is the Order of the Blessed One. Of dutiful conduct is the Order of the Blessed One.

This Order of the Disciples of the Blessed One namely , these Four Pairs of Persons,the eight types of individuals, is worthy of gifts is worthy of hospitality, is worthy of offerings, is worthy of reverential salutation, is an incomparable field of merit for the World.

Putthajayamangkalakatha or Pahung (Stanzas of Victory)
Creating thousand hands with weapons armed, was Mara seated on the trumpeting,ferocious elephant Girimekhala. Him, together with his army, did the Lord of Sages subdue by means of generosity and other virtues. By the grace of which may joyous victory be mine.

More violent than Mara was the indocile obstinate demon Alavaka, who battled with the the Buddha throughout the whole night. Him, did the Lord of Sages subdue by means of His patience and self-control, By the grace of which may joyous victory be mine.

Nalagiri, the king elephant, highly intoxicated, was raging like a forest fire and was terrible as a thunder-bolt. Sprinkling the waters of loving-kindness, this ferocious beast,did the Lord of Sages subdue. By the grace of which may joyous victory be mine.

With lifted sword,for a distanced of three leagues, did wicked Angulimala run. Him,did the Lord of Sages subdue by His psychic powers. By the grace of which may joyous victory be mine.

Her belly bound with faggots, to simulate the biness of pregnancy Cinca, with harsh words made foul accusation in the midst of an assemblage. Her, did the Lord of Sages subdue by His serene by His serene and peaceful bearing. By the grace of which may joyous victory be mine.

Haughty Saccaka, who ignored truth, was like a banner controversy, and his vision was blinded by his own disputations. Lighting the lamp of wisdom, him, did the Lord of Sages subdue. By the grace of which may joyous victory be mine.

The wise and powerful serpent Nandopananda, the Noble Sage got subdued by psychic powers through his disciple con-Thera Moggallana. By the grace of which may joyous victory be mine.

The pure, radiant, majestic Brahma, named Baka, whose hand was grievously held by the snake of tenacious heresies, did the Lord of Sages cured with His medicine of wisdom. By the grace of which may joyous victory be mine.

The wise one, who daily recites and earnestly remembers these eight verses of joyous of the Buddha, will get rid of various misfortunes and gain the bliss of Nibbana.

Jayaparittang ( Mahakaruniko ) (The Victory Protection)
The Lord greatly compassionate for the welfare of all living beings Having fulfilled all the perfections attained by himself the highest Bodhi: by the speaking of this truth, may you be blessed with victory. Victorious at the Bodhi-tree' root.

He who increased delight for the Sakyans, thus may victory be yours May you win the blessing of victory. In the undefeated posture upon The exalted holy place having the consecration of all the Buddhas He rejoices in the best attainment. A good time ,an auspicious time, a good dawn, a good morning, a good instant, a good moment( when ) well-given( are things ) to brahmacaris, (when) bodily kamma is righteous, and righteousness is verbal kamma, ( when ) mantal kamma is righteous, righteousness are their aspirations. These righteousness having been done one gains the gosl by righteousness.

May all blessings accrue. May all devas protect you. By the glory of all Buddhas may security ever be yours!
May all blessings accrue. May all devas protect you. By the glory of all Truth's Laws may security ever be yours!
May all blessings accrue. May all devas protect you. By the glory of all Saintly Disciples may security ever be yours!

Salutation To The Buddha
Such indeed is that Blessed One,Exalted, Omniscient, endowed with knowledge and virtue, Well-gone, knower of the worlds, a Guide incomparable for the training of individuals, Teacher of gods and men, Enlightend and Holy.

Pattidana Transference of Merit
May this merit accrue to my mother and my father, May they be happy.
May this merit accrue to all my relatives; may they be happy.
May this merit accrue to my teachers and my preceptor; may they be happy.
May this merit accrue to all gods; may they be happy.
May this merit accrue to all hungry ghosts; they be happy.
May this merit accrue to all enemies; may they be happy.
May this merit accrue to all beings; may they be happy.


Benefits of chanting Buddhaguna (Itipiso included)
The Advantages of Chanting Buddhaguna by Phra Dhebsinghaburajarn and English version by Dr. Suchitra Ronruen
Chanting the holy stanzas is the way of life. A person who chants every day will be good and prosperous. He will be able to share this merit to his friends and to all beings.

May you and your family members chant every day for your well - being,rich of fortune,happiness and wisdom.

You should advise your children to chant every night before they go to bed. If they do this with firm faith, these benefits should be expected. They are :

1. They will have good discipline.

2. They won't argue with their parents but will be obedient and respectful.

3. When they are grown up,they will be good members of society as well as good citizens of the nation.

4. He who chants every day will lead a good, prosperous,rich,smart and intellectual life.He will get all good things he wishs.

Try it for 3months and you'll see the result. For worst, you'll be just wasting your time. But if it works then it'll be your asset for life. FYI.Itipiso is actually part of Buddhaguna.

The Advantages of Chanting Buddhaguna

Buddhaguna ( worshipping the Enlightened one ), I have discovered that when some people are foretold by a fortune-teller that they have bad luck and something should be done to eradicate that bad luck. Which the help of mindfulness, a thought arises in my mind that it's much better to chant Buddhaguna than to get advice from a fortune-letter .I then tell my disciples to follow this idea and it works well.

The chanting begins with Namo tassa bhagavato ...., Refuges, Buddhaguna, Dhammaguna, Sanghaguna, Bahum and Mahakaruniko. After that ,chant only Buddhaguna as many times as your age plus one. Suppose you are 40, then chant Buddhaguna 41 times and if you are 35, then chant Buddhaguna 36 times.

There was a fifty-one-year-old Christian widow who was a millionairess and had only one son. This widow possessed lots of lands in Lad Prao and Klong San-sab. Her son was not keen in learning and she sent him to study in U.S.A. The son was not interested in his studies.He spent three years there as a playboy and often wrote to his mother to send him money, lying to her that he nearly finished his studies. From time to time,the son deceived his mother to send him one hundred thousand,then five hundred thousand and so on.

The mother did not know what to do ,she then went to a fortune-teller to have him ridden her of her bad luck. She paid lots of money to the fortune-teller ,hoping that he would help her son to finish his studies.She also went to other fortune-tellers but none of them could solve her problem though she had paid them a lot. She was very nervous and could neither eat nor sleep

Fortunately, a man from Singburi who was one of her employees knew and asked for my help. At that time I didn't know that she was a Christian and when I saw her face I knew that her son would finish his M.A. and would continue a Ph.D. But why couldn't he finish his B.A. I wondered.

I suggested to her to chant Buddhaguna 52 times every night but she said she couldn't because she was a christian.That day she left the monastery hopeless.

She came back again after four or five months had passed. This time she came alone and confessed that " Luang Poh, I will follow your advice ". I then told her to buy a chant book but she refused. Her reason was that any Christian could not keep the chant book in the house. She requested me to write the words of chant for her. I had to write the chant words of Buddhaguna, Dhammaguna, Sanghaguna, Bahum and Mahaka for her. She still said, " I can't chant in the chanting hall because I am not a Buddhist." I suggested that she could chant in her bed by counting pieces of matches for the 52 times of chanting. Having finished chanting she should transfer merit to her son. I forbade her to scold him and suggested that she must wish him happiness and successs in his studies.

For three months she had followed my suggestion. She could remember all the words she chanted and there were two advantages she got .

First, her nervousness had gone. She became mindful and could eat and sleep. When she was happy , she began to transfer merit to her son in U.S.A. After six months of chanting, the son got that merit. The day he got it he had a serious accident. The car he was driving crashed on the electric distribution pole. His friends who sat in the back seat were thrown out of the car but none of them got hert. Only he who was in the car, was hurt. The electric distribution pole had fallen down (and he had to pay lots of money for this accident ).

The driver was unconscious and was sent to the ICU room. Fortunately, one of his cousins was a doctor in U.S.A. He came to see him at the hospital. The doctors reportd to the cousin that the patient should be dead.

On the following day he became conscious and felt seriously hurt. Tears filled his eyes when he thought of his mother. I notice that when someone is in trouble, he usually thinks of his mother but when h is happy with his friends ,the mother is absolutely forgotten.

Secoundly, the son missed his mother a lot .He was sorry that how unhappy would she be if she had known that her son did not finish his studies. He then determined that he would try to finish his studies as soon as he recovered.

Finally, he came back to Thailand and his mother brought him to meet me. He revealed what happened to him. After he had got well, he chanted every day and also went to practise vipassana meditation at Thai Temple in U.S.A. He could finish his B.A. as well as an M.A. and I knew that he would finish his Ph.D. in the future.

I then conclude that whenever someone is in trouble, he will think of his mother and perceive the Dhamma. That widow's son said to me " Venerable sir, I never missed my mother during three or four years while I was in U.S.A But when I was in hospital, I missed her so much." The mother told her son that it was I who helped him. He then had faith in me and I told him if he believed me , he should have his hair cut I then postulate that when someone is in bad luck, he should chant Buddhaguna.

Thursday 30 June 2011

ความรู้เรื่องอาหารผิว

อาหาร ผิวแต่ละชนิด มีคุณสมบัติ และข้อดีแตกต่างกันออกไป แต่การดูแลผิวพรรณให้สวย สดใส ไม่เกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

กลูตาไธโอน (Glutathione)
ประกอบด้วย Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน เมื่อร่างกายได้รับ Tyrosinase ในปริมาณที่เหมาะสมจะควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหน้าสวยขาวใส ไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ผิวใต้วงแขน ผิวบริเวณ Bikin สีผิวริมผีปากและผิวบริเวณหัวนม จะขาวอมชมพูขึ้น และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นสาร Detoxification เปลี่ยนสารพิษให้อยู่ในรูปที่ไม่เป็นพิษ เพื่อถ่ายทิ้งเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามิน C และ E และทำให้อยู่ในรูปที่ดูซึมได้เร็วขึ้นได้ใน ปลา เนื้อ Asparagus อะโวคาโด วอลนัท

ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนจากปลาทะเล (Hydrolized Marine Collagen)
เป็นโปรตีนจากปลาทะเล ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลเซท ด้วยเอนไซม์ โดยทำให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลง จึงได้คอลลาเจนในรูปแบบพิเศษ ซึ่งจะมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 1,000-5,000 ตัน จึงมีประสิทธิภาพสูงในกี่ดูดซึมสู่ชั้นผิวได้ทันที ซึ่งต่างจากคอลลาเจนโดยทั่วไปที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่อยู่ที่ 130,000 ดาลตัน ทำให้ดูดซึมสู่ชั้นผิวได้ยาก ประโยชน์ที่จะได้รับ
  • เสริมสร้างซ่อมแซมคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น
  • ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น จึงทำให้ผิวพรรณกระชับ เนียนใส เปล่งปลั่ง
  • ช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของชั้นผิว ส่งผลให้ผิวเต่งตึง ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
  • บำรุงรากผม และเล็บให้แข็งแรง

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
องค์ประกอบหลักของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น คือ OPC (Oilgmeric Proantocyannidins) ซึ่งสารสุขภาพที่อยู่ตามธรรมชาติ โดยจัดอยู่ในกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีความสูง
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน บำรุงผิวพรรณ ความยืดหยุ่น เรียบลื่น เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อ และกระดูกอ่อน
  • ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ โดยยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด
  • เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเส้นโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ผิวสดใส มีเลือดฝาด
  • บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน และการหมดประจำเดือน

โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)
เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย เป็นเสมือนแหล่งกำเนิดพลังงานให้กับเซลล์ล้านๆ เซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ที่มีความต้องการพลังงานสูง เช่น สมอง หัวใจ ตับ
  • มีฤทธิ์ต่อต้านการ oxidation ที่เข้มแข็ง ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน (Oxygen) ให้แก่เซลล์เยื่อต่างๆ
  • เป็นตัวร่วม (Co-factor) ในขบวนการหายใจระดับเซลล์ ทำให้มีพลังงานในรูปของ ATP (Adenosine Tri Phosphate) มากขึ้น
  • มีบทบาทสำคัญในการทำลายสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจแบบใช้ Oxygen ทำให้กล้ามเนื้อของนักกีฬาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ลดอาการล้าของกล้ามเนื้อจากสภาพที่มีกรดแลคติกในกล้ามเนื้อมากขึ้น
  • เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น

สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (Pycnogenol)
  • มีสารสำคัญคือ Pycnogenol และ OPC(Oilgmeric Proantocyannidins) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • ลดปริมาณการสร้างเม็ดสี (Melanin) ที่ผิดปกติ อันเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า โดยช่วยให้ความเข้มของรอยหมองคล้ำค่อยๆ ลดลง คืนความยืดหยุ่น เนียนสวย อย่างเป็นธรรมชาติ
  • เพิ่มความเข้มแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน บำรุงผิวพรรณ เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อ และกระดูกอ่อน

สารสกัดจากมะเขือเทศ (Lycopene)
เป็นสารสกัดจากมะเขือเทศ มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความผิดปกติและความเสื่อมของเซลล์

สารสกัดจากถั่วเหลือง (Isoflavons)
ไอโซฟลาโวนส์ เป็นสารที่พบในพืชตะกูลถั่วชนิดต่างๆ พบมากในทั่วเหลือง
  • มีลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่มีสาเหตุจากฮอร์โมนต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมาก
  • ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบเนื่องจากการหมดรอบเดือน

กรดอัลฟา-ไลโปอิก (Alfa Lipoic)
  • เป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายวิตามิน โดยทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่นๆ ให้เป็นพลังงาน จึงมีผลช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น
  • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง ช่วยปกป้องเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกายจากการเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน

เบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene)
  • พบมากในหัวแครอทหรือหัวผักกาดแดง
  • มีคุณสมบัติต้านปฎิกิริยา Oxidation ซึ่งจะมีผลทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่เสื่อมสภาพและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอความแก่จากการที่เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
  • ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดอันตรายจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย
  • กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

บิลเบอร์รี่ (Bilberry)
  • มีสารสำคัญคือ Anthocyanoside ซึ่งสามารถต้านปฎิกิริยา Oxidation ได้ดี ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะเซลล์ที่ผนังหลอดเลือด
  • ทำให้ระบบประสาทตาและการมองเห็นดีขึ้น
  • สาร Glucoquinine ในบิลเบอร์รี่ จะทำให้อินซูลิน ทำงานเผาผลาญน้ำตาลในเลือดขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • มีสาร Tanin ช่วยให้การฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว

ซีลีเนียม (Selenium)
  • เป็นสารป้องกันการเกิด Oxidation ชั้นเลิศ โดยกระตุ้นร่างกายให้สร้างเอ็นไซม์ กลูต้าไธโอน เปอร์อ๊อกซิเดส
  • ลดการเสื่อมของเซลล์ จึงมีผลในการช่วยชะลอความแก่ หรือกระแก่ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้
  • ลดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

ฮอร์สเทล (Horsetail)
  • มีสารสำคัญคือ ซิลินคอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนคอลลาเจน
  • ทำให้เซลล์ผิวหนังกระชับและแข็งแรงขึ้น
  • เพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม และเล็บ
  • มีฤทธิ์ในการฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ช่วงเร่งให้ผมขึ้นมาใหม่ ช่วยให้ความแข็งแรงแก่เส้นผม เพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นผม และยังทำให้เส้นผมที่แห้งกร้านกลับมีชีวิตชีวา

ชาเขียว (Green Tea)
  • มีสารสำคัญคือ EGCG ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดการตึงเครียดจากการงานหนัก
  • ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านของร่างกาย
  • มีคลอโรฟิลล์ที่ช่วยขับสารพิษต่างๆ จากร่างกาย ลดการเกิดมะเร็งจากสารพิษ
  • ช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อ และลดกลิ่นปากได้

ซิงค์ (Zinc)
  • ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างเอนไซม์ Super Oxide Dismutase ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดการอักเสบและการเกิดสิว พร้อมช่วยสมานผิวและลบเลือนริ้วรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวให้หายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียไป

วิตามินซี (Vitamin C)
  • เป็นวิตามินที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์
  • ช่วยให้ผิวพรรณยืดหยุ่น กระชับ บำรุงรักษาเหงือก ฟัน และกระดูกให้แข็งแรง
  • ลดอันตรายจากโลหะหนัก และสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม
  • ทำให้สุขภาพหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย ลดอัตราการติดเชื้อหวัด

วิตามินอี (Vitamin E)
  • เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ผิว
  • ลดการเกิด ไลโปฟุสซิน ที่ทำให้เกิดกระแก่ที่ผิวหนังได้
  • ช่วงเร่งให้ขบวนการสมานแผลในร่างกายเร็วขึ้น ลดการเกิดเนื่อเยื่อแผลเป็น ทำให้ร่างกายสร้างระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ทนทานต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้มาก
  • มีผลในด้านการลดระดับโคเลสเตอรอล

โดย : http://asianlife.igetweb.com

ชะลออายุด้วยอาหาร

โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
เมื่อคน เรามีอายุมากขึ้น คงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความชราไว้ได้ แต่วิธีที่จะช่วยชะลออายุได้ก็คือ การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด สุขภาพที่ดีมาจากร่างกายที่แข็งแรง และจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน

imageองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้มีสุขภาพดี ตามที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฯลฯ
ดังนั้นอาหารการกินจึงเป็นส่วนสำคัญ ที่จะกำหนดให้เราแก่ไปตามวัยที่ล่วงเลย หรือก่อนวัยอันสมควร ยิ่งเมื่อวิทยาการก้าวหน้า อาหารยิ่งถูกปรุงแต่งมากขึ้น จนแทบไม่เหลือคุณค่าของอาหารไว้ ปัจจุบันความคิดทางการแพทย์เก่า ๆ ที่ให้บริโภค เนื้อ นม ไข่ มาก ๆ จึงเริ่มเปลี่ยนไป และให้หันกลับมาสนใจอาหารธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตของคนสมัยก่อนแทน
หลัก 10 ประการของการบริโภคอาหารต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่านชะลออายุไว้ได้
  1. กิน คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกดัดแปลง ขณะนี้อาหารเกือบทุกอย่างที่วางขายในท้องตลาด มักถูกดัดแปลงปรุงแต่งใหม่ เพื่อหลอกล่อผู้บริโภคว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่แท้จริงกลับเป็นผลเสียต่อร่างกาย คาร์โบไฮเดรตมักถูกดัดแปลง หรือแฝงในรูปต่าง ๆ เช่น ข้าวที่ถูกสีจนขาว น้ำตาลทรายขาว ขนมหวาน ลูกกวาด น้ำอัดลม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ควรบริโภคแต่คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติที่ไม่ถูกดัดแปลง และมีคุณค่าสูง ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ผลไม้สด ถั่ว ผัก และเมล็ดพืช
  2. ต้องกินโปรตีนให้เหมาะสม โปรตีนมีอยู่ในเมล็ดพืช ผัก มันฝรั่ง ถั่ว นมพร่องไขมัน และอาหารทะเล บางคนเข้าใจผิดว่าเนื้อวัวมีโปรตีนสูง แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องนัก การที่เนื้อวัวให้พลังงานสูง เพราะมีโปรตีนมาก แต่ร่างกายย่อมต้องการโปรตีนให้ได้สัดส่วนกับอาหารอื่น ถ้ากินมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นไขมันสะสมไว้ และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมาใช้ได้อีก
  3. ควรหลีกเลี่ยงไขมัน ยามเมื่ออายุมากขึ้นไขมันเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดโรคหลายอย่าง นั่นคือ ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ น้ำมัน เนย มายองเนส กรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกายนั้น พบในเมล็ดพืชทุกชนิด ผลไม้เปลือกแข็ง และข้าว การเก็บรักษาอาหารประเภทนี้ต้องใส่ภาชนะปิด เพราะแสง ความร้อน และอากาศสามารถทำลายกรดไขมันที่จำเป็นได้
  4. กินวิตามินที่ได้จากพืช และสัตว์ วิตามินธรรมชาติมีคุณภาพสูงกว่าวิตามินสังเคราะห์ ยิ่งถ้าเราถูกกระทบจากความเครียดมาก ร่างกายยิ่งต้องการวิตามิน และเกลือแร่ทดแทนมากกว่าคนปกติ
  5. ควรเน้นผัก และผลไม้สด อาหารในแต่ละวันควรเป็นผักสด และผลไม้ประมาณ 70% อีก 30% ควรเป็นอาหารประเภทอื่น ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มพลังตับสูงให้แก่ร่างกาย จะเห็นได้จากนักกีฬาชั้นนำระดับโลกต่างหันมาบำรุงร่างกายด้วยผัก และธัญพืชกันมากขึ้น
  6. หลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่ง ได้แก่ อาหารหวานจัด อาหารสำเร็จรูป อาหารที่มีสารเคมีเป็นส่วนผสม และโซเดียมซึ่งมีอยู่ในเกลือ ผงชูรส ผงฟู และสารผสมอาหารต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ไม่มีคุณค่าแต่กลับมีโทษต่อร่างกาย
  7. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะ ร่างกายเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% แต่ละวันเราสูญเสียน้ำไป 6-8% ของจำนวนน้ำทั้งหมด น้ำจะเป็นตัวพาสารอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควรดื่มน้ำสะอาดก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำย่อยทำงานเต็มที่ และเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ควรดื่มน้ำ 3-5 แก้ว งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เนื่องจากน้ำอัดลม และน้ำเกลือแร่ไม่มีคุณค่าอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
  8. กินอาหารแต่ละมื้อให้เหมาะสม ไม่ควรกินอาหารจนแน่นอึดอัด ควรกินแค่เกือบอิ่ม มื้อเช้าควรได้อาหารที่ให้พลัง เพราะต้องทำงานทั้งวัน มื้อกลางวันไม่ควรทานมากจนแน่นท้อง เพราะอาจทำให้ง่วงนอนในตอนบ่าย ส่วนมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่เบาท้องเพราะใกล้เข้านอน ในขณะที่เรานอนหลับ ควรให้กระเพาะ และสำไส้ได้พักผ่อนบ้าง
  9. กินอาหารตามฤดูกาล และที่มีอยู่ในท้องถิ่น พืช ผัก ผลไม้ ตามฤดูกาลจะ ทำให้ร่างกายมีความสมดุลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี อาหารที่ผิดฤดู หรือที่เข้ามาจากต่างประเทศ อาจเคลือบสารเคมีหรืออาบรังสีบางอย่างเอาไว้ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่มีภูมิต้านทานได้ในฤดูร้อน ควรลดอาหารหนัก และในฤดูหนาวควรกินอาหารที่ให้พลังงาน และความอบอุ่น หลายคนชอบกินอาหารฝรั่ง ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารที่มีไขมันสูงเกินความต้องการของคนในประเทศ ซึ่งเป็นเมืองร้อน แต่เหมาะกับต่างประเทศที่เป็นเมืองหนาว
  10. กินให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน หากทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ ซึ่งมีเครื่องปรับอากาศทั้งวัน ไม่ควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อมากเท่ากับกรรมกรที่ทำงานใช้แรงงานกลางแดด
หลักการกินทั้ง 10 ประการนี้ ช่วยให้ท่านที่ปฏิบัติตาม ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผนวกกับการดูแลเอาใจใส่ตัวเองด้วยการ ออกกำลังกาย และปฏิบัติธรรมแล้วสุขภาพกาย และจิตใจของท่านจะแข็งแรง และดูอ่อนกว่าวัย ไม่ว่าอายุจะล่วงเลยไปเท่าไรก็ตาม

ข้อสรุปในเรื่องอาหาร และการปฏิบัติตนสำหรับผู้สูงอายุ
  1. จัดอาหารที่ให้พลังงานลดลง เช่น ลดอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมันลง
  2. จัดหารอาหารที่เคี้ยวง่าย และย่อยง่าย โดยจัดหาอาหารให้มีลักษณะน่ารับประทาน และรสชาติถูกใจผู้สูงอายุ
  3. จัดอาหารให้ครั้งละน้อย ๆ แต่จัดให้กินบ่อยขึ้น เช่น มีมื้อของว่าง
  4. จัดอาหารให้กินตามเวลา และไม่ควรให้ท่านรอเมื่อหิว
  5. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ อาจเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้สด ไม่ควรดื่มชา กาแฟแก่ ๆ เพราะจะทำให้ท้องผูก และนอนไม่หลับ
  6. ไม่กินยาระบาย ยาลดกรด และยาอื่น ๆ โดยแพทย์มิได้สั่ง
  7. ห้อง หรือที่อยู่อาศัย ควรมีการระบายลมที่ดี และอยู่ในที่ที่ไม่ร้อนจัด เมื่อหนาวก็มีผ้าห่ม และเสื้อกันหนาวให้อย่างเพียงพอ
  8. ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
  9. รักษาสุขภาพจิตให้ดี ควรใช้เวลาในวันนี้ศึกษาพระธรรม และฝึกปฏิบัติเพื่อได้มีสติสัมปะชัญญะอยู่เสมอ
imageที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

อาหารชีวจิต

การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจาก อาหารการกิน

อาหารชีวจิต
ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน
สำหรับจุดประสงค์หลักของชีวจิตก็คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยยึดเอาวิธีปฏิบัติและความคิดในแนวธรรมชาติเป็นหลัก ในด้านร่างกายและจิตใจนั้น ชีวจิตถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อร่างกายด้วยความสุขสมบูรณ์ (Wholeness as Perfection)
การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความ สงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง

ชีวจิต คืออะไร
ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ เป็นวิถีการดำรงชีวิตและการบริโภคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติค ซึ่งมีการดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่แบบไทย ๆ อาหารชีวจิต เป็นการบริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่งพืชหัวไม่ปอกเปลือก ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว งดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่ การดำรงชีวิต อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ไม่แออัด มีชีวิตเรียบง่าย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ยัดธรรมชาติเป็นหลัก มีการฝึกสมาธิเป็นประจำ โดยภาพรวมแล้ว การปฏิบัติตามแนวชีวจิตจะมุ่งเน้นความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด
ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์วม(Holistic) คือผนวกรวมเอา "ชีว" ที่หมายถึง "กาย" รวมเข้ากับ "จิต" ที่หมายถึง "ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมายและการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อกายและใจทำงานเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน (Wholeness as Perfection)

การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้
เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัย
ใหม่นานัปการ

แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิด

ปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้าม
กลับเป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพเกิดความสมดุลและกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จากหลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป

จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ก็
ย่อมทำงานได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. ใช้ธรรมชาติเป็นยา
2. ใช้อาหารเป็นยา
3. ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
  • แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
  • Wholistic (Holistic)
  • Macrobiotics
  • แบบจีนและการฝังเข็ม
  • อายุรเวทและโยคะ
  • สมุนไพร
  • การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
  • แบบอื่นๆ
4. การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
  • โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
  • การยืด ส่ง และดัน
  • Chiropractic
  • การรำตะบอง 
โดย : เว็บไซต์อาหารชีวจิต

วิตามินสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย

โปรตีน คาร์โบไฮเตรด ไขมัน สารอาหารหลักที่ผู้ที่รักการออกกำลังกายทราบดีว่าควรรับประทานเข้าไปในแต่ละ วันมากน้อยเพียงใด แน่นอนว่าการควบคุมแหล่งปริมาณพลังงานที่คุณรับประทานจะเป็นการรับประทาน อาหารที่ดีต่อสุขภาพก็ตาม ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป นั่นก็คือ

วิตามิน

ที่ จริงแล้ววิตามินมีปัจจัยสำคัญต่อขบวนการต่าง ๆ ในร่างกายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณมีโปรแกรมเพิ่มหรือลดปริมาณอาหาร แม้ว่าวิตามินจะเป็นสารอาหาร อาหารที่ไม่ให้พลังงานเหมือนกับโปรตีน ไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรต แต่การได้รับวิตามินไม่เพียงพอก็อาจทำให้ภูมิต้านทานของร่างกาย และประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายลดลง

วิตามินในกลุ่มที่ละลายในไขมัน
 

วิตามิน A
Goal :
ใช้ในการสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์
Dosage :

5,000-25,000 IU.ต่อวัน และสามารถเพิ่มถึง 60,000 IU.ต่อวันสำหรับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
 
วิตามิน D
Goal :
เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง
Dosage :
400-1,000 IU.ต่อวัน
 
วิตามิน E
Goal :
ป้องกันกล้ามเนื้ออ่อนล้า เพิ่มภูมิต้านทางให้กับร่างกาย และยังเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยฟื้นฟูสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
Dosage :
200-1,000 IU.ต่อวัน
 
วิตามิน K
Goal :
รักษาภูมิต้านทางของร่างกาย ช่วยให้เลือดแข็งตัวเวลาเกิดบาดแผล และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ จากการออกกำลังกายอย่างหนัก
Dosage :
80-180 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินในกลุ่มที่ละลายในน้ำ
 

วิตามิน B1
Goal :
เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ใช้เพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อสำหรับนักกีฬา และจำเป็นต่อระบบเมตาบอริซึมของคาร์บอไฮเดรต
Dosage :
30-300 มิลลิกรัม
 
วิตามิน B2
Goal :
เป็นวิตามินที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย สร้างการเจริญเติบโตให้กับกล้ามเนื้อ
Dosage :
30-300 มิลลิกรัม
 
วิตามิน B6
Goal :
สำหรับขบวนการเมตาบอริซึมของโปรตีน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่มปริมาณโปรตีนเพื่อสร้างขนาดกล้ามเนื้อ
Dosage :
20-100 มิลลิกรัม
 
วิตามิน B12
Goal :
เป็นวิตามินที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย สร้างเซลล์ และเนื้อเยื่อใหม่ ๆ ให้กับร่างกาย สังเคราะห์เม็ดเลือดแดง
Dosage : 12-200 ไมโครกรัม
 
วิตามิน C
Goal :
เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ จำเป็นต่อขบวนการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ ผิวหนัง เอ็น และกระดูก
Dosage :
60-5,000 มิลลิกรัม


โดย : เอกสารLive Well

อาหารต้านมะเร็ง

โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
วิธีหนึ่งที่สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ นั่นเอง แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้


วิธีหนึ่งที่สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ นั่นเอง แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. พืชตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพราะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
2. อาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. อาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น
  • ผลไม้สีเขียว-เหลือง ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
  • เบต้าแคโรทีน สารมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายนำไปใช้สร้างวิตามินเอ ที่เรียกว่า โปรวิตามินเอ ช่วยบำรุงสุขภาพสายตา สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ สาเหตุของมะเร็งโรคร้ายสารชนิดนี้ มีมากในพืชผักสีแดง เหลือง ส้ม หรือเขียวเข้ม
ผู้ที่ตระหนักถึงภัยของมะเร็งจึงตื่นตัว และหันมาบริโภคหัวแครอท บีทรู้ท บรอคโคลี่ ลูกพรุน ซึ่งส่วนมากต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทำให้ราคาแพง และหายาก ลองหันมาดูผักบ้านเราหลายชนิดมีคุณสมบัติ และเบต้าแคโรทีนไม่น้อยไปกว่ากัน ผักที่ว่านี้ได้แก่
  • ยอดมะยม มีเบต้าแคโรทีนสูงมากถึง 1,662.46 RE
  • ผักโขม ของโปรดของป๊อบอายทีหาง่ายในเมืองไทย มีถึง 558.76 RE
  • ตำลึง รั่วกินได้ที่มีแคลเซี่ยมสูง และเบต้าแคโรทีน 699.88 RE
  • กระถิน มีเบต้าแคโรทีนถึง 460.60 RE
  • ยอดแค ที่เราใช้ลวกจิ้มน้ำพริก มีอยู่ถึง 372-85 RE
  • ชะพลู ที่คุณยายใช้กินกับหมาก แต่เอามาทำอาหารได้หลายอย่าง มีเบต้าแคโรทีน 414-45 RE
  • ผักชีฝรั่ง มีสูงถึง 876.12 RE
** RE หมายถึงไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
4. อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัว โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกาย และการลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง จะช่วยป้องกันมะเร็งเหล่านี้ได้

Wednesday 29 June 2011

แร่ธาตุ สังกะสี (Zinc)

สังกะสีคืออะไร
ปกติทั่วไปร่างกายมนุษย์ต้องการสารอาหารหลัก 5 หมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ โดยเกลือแร่หรือแร่ธาตุนั้นเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายรองจาก น้ำ ไขมัน และโปรตีน ซึ่งแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับองค์ประกอบที่ดีของชีวิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกคือ แร่ธาตุปริมาณมาก (Macro Minerals) ใช้เรียกแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น โดยจะพบแคลเซียมในร่างกายมากที่สุด รองลงมาเป็นฟอสฟอรัส ส่วนแร่ธาตุประเภทที่สอง คือ แร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) โดยแร่ธาตุกลุ่มนี้ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถขาดได้เลย เพราะมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย กล่าวคือ ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ไป ร่างกายก็จะผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ปริมาณที่จำเป็นต่อสุขภาพต่อวันมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง

สังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่มแร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) มีชื่ออีกอย่างว่า ซิงค์ (Zinc) สัญลักษณ์ทางเคมี คือ Zn ประมาณร้อยละ 90 ของสังกะสี ในร่างกายอยู่ที่กระดูกและกล้ามเนื้อ อีกร้อยละ 10 อยู่ที่ ตับอ่อน ตับ เลือด โดยส่วนที่อยู่ในเม็ดเลือดนั้น ร้อยละ 80 อยู่ในเม็ดเลือดแดง และร้อยละ 20 อยู่ในน้ำเลือด ส่วนใหญ่ของ สังกะสี ที่รับประทานเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระ ซึ่งเป็นผลรวมของ สังกะสี ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่ถูกดูดซึมจากน้ำย่อยของลำไส้เล็ก นอกจากนี้ร่างกายยังขับถ่าย สังกะสี ออกทางปัสสาวะโดยจับกับ กรดอะมิโน ได้อีกด้วย ซึ่งในคนปกติจะขับถ่าย สังกะสี ออกประมาณวันละ 300 – 600 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของสังกะสี
สังกะสี มีลักษณะเหมือนกับแร่ธาตุและ วิตามิน อื่นๆ คือ เป็นสารอาหารทีไม่ให้พลังงาน แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกำกับการทำงานของร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิก และโปรตีนเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 100 ชนิด อาจกล่าวได้ว่าเอนไซม์ที่เป็นสารสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาภายในร่างกายเกือบทุกชนิดต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบจึงจะทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้น สังกะสี จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายเรา โดยอาจสรุปขบวนการที่ สังกะสี มีส่วนร่วมในการทำงานในร่างกายมนุษย์ได้ดังต่อไปนี้

1. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส (Alcohol Dehydrogenase) ซึ่งเอ็นไซม์นี้มีหน้าที่ในการกำจัดแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นสารพิษในตับ (Liver)

2. สังกะสี ร่วมทำงานกับ เอ็นไซม์ แลคเตตและมาเลตดีไฮโดรจีเนส (Latate and Malate Dehydrogenase) ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ร่างกายใช้ในขบวนการสร้างกำลังงาน

3. สังกะสี มีส่วนร่วมทำงานกับเอ็นไซม์ อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส (Alkaline Phosphatase) ซึ่งจำเป็นในขบวนการสร้างกระดูกและฟัน

4. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ซูเปอร์อ๊อกไซด์ ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase; SOD) ซึ่งเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Potent Anti-oxidants) ที่มีอยู่ในร่างกาย

5. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ คาร์บอร์นิคแอนไฮเดรส (Carbonic Anhydrase) ซึ่งพบว่าเอ็นไซม์นี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานอย่างสมดุลของระบบประสาทสมอง

6. สังกะสี จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์โปรตีนและสร้าง คอลลาเจน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของเด็ก

7. สังกะสี ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามิน เอ (Vitamin A) ไว้ได้ดีขึ้น และช่วยให้เซลล์สามารถนำเอาวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งช่วยทำให้เซลล์ผิวพรรณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ มีสุขภาพดี และพบว่ายังเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง และควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมันได้ด้วย

8. สังกะสี มีส่วนสำคัญในขบวนการสร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic acid) ทั้งดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งพบว่าในระยะที่ร่างกายต้องการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ไม่ว่าหลังผ่าตัด, เป็นแผลต่างๆ ยิ่งจำเป็นต้องมีขบวนการนี้มากขึ้นเสมอ

9. สังกะสี ยังช่วยในการปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด ทีลิมโฟไซต์ (T-lymphocyte) ให้ทำงานป้องกันเชื้อโรคแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

10. สังกะสี มีความสำคัญต่อการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และควบคุมการทำงานของอวัยวะรับสัมผัส (Taste Sensation) ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. สังกะสี จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการเจริญของระบบสืบพันธุ์ และช่วยให้ต่อมลูกหมากทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ป้องกันการเป็นหมัน

ปริมาณความต้องการสังกะสี
จากคุณสมบัติของ สังกะสี ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในกระบวนการทำงานเกือบทุกระบบในร่างกายล้วนแต่ต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบในการทำงานด้วยกันทั้งนั้น จึงนับได้ว่า สังกะสี เป็นแร่ธาตที่ร่างกายต้องการเป็นประจำไม่สามารถขาดได้เลย โดยปริมาณความต้องการ สังกะสี ของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามเพศ วัย และภาวะของร่างกาย ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริการได้ทำการวิจัยและกำหนดความต้องการ สังกะสี (Zinc) ปกติของมนุษย์ไว้ตามตารางข้างล่างนี้

ปริมาณ สังกะสี ที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (Daily RDAs For Zinc)

อายุน้อยกว่า 1 ปี ปริมาณที่แนะนำ 3 – 5 มิลลิกรัม/วัน

อายุ 1 –10 ปี ปริมาณที่แนะนำ 10 มิลลิกรัม/วัน

อายุ 11 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำ 15 มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำ 20 – 25 มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำ 25 – 30 มิลลิกรัม/วัน

แหล่งของสังกะสี
สำหรับร่างกายมนุษย์แล้วไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์ สังกะสี ได้ขึ้นเอง จำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับสารดังกล่าว ซึ่งแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นแหล่ง สังกะสี ที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก โดยมีการวิจัยพบว่าอาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็น กรดอะมิโนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึม สังกะสี ได้ดีขึ้น โดยธัญพืชประเภท ข้าว ข้าวโพด มี สังกะสี อยู่ปริมาณน้อย ส่วนผัก ผลไม้แทบไม่มีปริมาณ สังกะสี อยู่เลย ซึ่งปริมาณ สังกะสี ในอาหารที่บริโภคประจำวันมีดังนี้

เนื้อสัตว์ อาหารทะเล 1.5 – 4 มิลลิกรัม/100 กรัม
หอยนางรม 75 มิลลิกรัม/100 กรัม
ตับ 4 – 7 มิลลิกรัม/100 กรัม
ไข่แดง 1.5 มิลลิกรัม/100 กรัม
น้ำนมวัว 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
น้ำนมแม่ 0.1 – 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
ธัญพืช 0.4 – 1 มิลลิกรัม/100 กรัม
ถั่ว 0.6 - 3 มิลลิกรัม/100 กรัม

โดยในการบริโภคอาหารประจำวัน เราควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณ สังกะสี เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามในการดำเนินชีวิตประจำวันปกติของเราทุกวันนี้ ยังมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ไม่เพียงพอได้ตลอดเวลา ปัจจัยดังกล่าว ได้แก่

1. การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารที่มีปริมาณ สังกะสี ต่ำ, อาหารที่มีแร่ธาตุทองแดง (Copper) มากเกินไป, พวก ไฟเบอร์, ไฟเตต (Phytates), แอลกอฮอล์ (Alcohol), ฟอสเฟต (Phosphate) เพราะสารเหล่านี้จะไปลดการดูดซึม สังกะสี ผ่านผนังลำไส้ของคนเราได้

2. อายุที่มากขึ้น (Aging) ประสิทธิภาพการดูดซึม สังกะสี ลดลง

3. หญิงในระยะตั้งครรภ์ (Pregnant) ต้องการ สังกะสี มากเป็นพิเศษ

4. การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ทำให้ขาดธาตุ สังกะสี ได้

5. ภาวะโรคต่างๆ ที่ต้องการแร่ธาตุ สังกะสี เป็นพิเศษ เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic infections) พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) ผิวหนังอักเสบ (Psoriasis) ตับแข็ง (Cirrhosis)

6. โรคพันธุกรรม ที่ทำให้การดูดซึม สังกะสี ไม่ดี พบในเด็กเล็ก เรียกว่า Acrodermatitis Enteropathica (โรคผิวหนังอักเสบ และผิดปกติทางจิตใจ)

อาการขาดสังกะสี
ซึ่งถ้าร่างกายมีอาการขาดแร่ธาตุ สังกะสี เป็นเวลานาน จะเป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย ดังนี้

1. การเจริญเติบโตในเด็กล่าช้า ตัวเล็ก แคระแกรน หรือหยุดชะงักเป็นหนุ่มเป็นสาว

2. ผิวหนังมีการอักเสบ โดยระยะแรกจะเป็นรอบปาก และอวัยวะเพศ ต่อมาจะลามไปที่แขนและขา เริ่มแรกอาจเป็นแค่ผื่นแดง ต่อมาจะมีลักษณะเป็นเม็ดพุพอง

3. ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร การรู้รสลดน้อยลง

4. ระบบประสาท อาจมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขาดสมาธิ เหม่อลอย และมีอาการตาบอดแสงได้

5. ระบบต่อมไร้ท่อ คือ ทำให้อวัยวะเพศเด็กเล็ก ไม่โตขึ้นตามวัย

6. มีอาการผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ ผิวแห้ง

สรุปประโยชน์ของสังกะสี
ในขณะที่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ที่เหมาะสม เพียงพอต่อความต้องการตามแต่ละสถานะของแต่ละคนแล้ว นอกจากไม่ต้องเผชิญกับอาการขาดธาตุ สังกะสี ดังกล่าวแล้ว กลับเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างมากมาย ซึ่งสามารถสรุปประโยชน์จากแร่ธาตุ สังกะสี ได้ดังนี้

1. ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาแผ้วพานร่างกายคนเรา จากการศึกษาหลายชิ้นให้ผลว่า ถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี ปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว จะมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์

2. ป้องกัน มะเร็ง พบว่าผู้ป่วย มะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีปริมาณ สังกะสี ต่ำกว่าคนปกติ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สังกะสี สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งต่อมลูกหมาก ได้

3. ป้องกันไม่ให้ตาบอดในผู้สูงอายุ การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration นั้นพบว่า เกิดจากการขาดธาตุ สังกะสี

4. ป้องกันและรักษาโรคหวัด พบว่าเมื่อเริ่มเป็นหวัด ถ้ารีบรับประทานธาตุ สังกะสี ทันทีจะ ช่วยให้อาการหวัดรุนแรงน้อยลงและจำนวนวันที่ป่วยก็ลดลงด้วย

5. ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น การรับรู้รอาหารมักจะเปลี่ยนไป บางคนอาจไม่เจริญอาหารและบอกว่า "อาหารไม่อร่อย" นั้น อาจมาจากการรับรู้รสของอาหารเปลี่ยนไปเพราะขาดธาตุ สังกะสี ก็ได้

6. กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น คนที่มีบาดแผลต่างๆ หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การให้ธาตุ สังกะสี จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้รับธาตุ สังกะสี

7. เพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย การผลิตสเปิร์มของผู้ชายต้องการธาตุ สังกะสี มาก จะเห็นได้ว่า ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มี สังกะสี มาก การสร้างฮอร์โมนเพศชาย ก็ต้องการธาตุ สังกะสี เช่นกัน

8. ช่วยรักษาและป้องกันการเป็นหมันในผู้ชาย สังกะสี มีส่วนสำคัญในการสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย การให้ธาตุ สังกะสี วันละ 50 มก. จะทำให้ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้

9. ป้องกันต่อมลูกหมากโต คนสูงอายุมักประสบปัญหาต่อมลูกหมากโต แพทย์จึงให้ สังกะสี ในการรักษาซึ่งก็ได้ผลดี

10. รักษาสิว คนหนุ่มสาวมีปัญหาเรื่องสิว ฝ้า เวลาสิวอักเสบจะไม่น่าดู มีการให้ธาตุ สังกะสี แก่คนที่ขาดธาตุสังกะสีและเป็นสิว ปรากฏว่าได้ผลดี สิวจะหายไป

11. ป้องกันผมร่วง สังกะสี จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของร่างกายของเส้นผม บางรายผมหลุดร่วงไปและกิน สังกะสี ก็จะช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในรายหัวล้านตามอายุนั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีรากผม

12. เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลและติดเชื้อง่าย สังกะสี จะช่วยให้ แผลที่เป็นนั้นหายเร็วขึ้นและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรคด้วย

13. ลดอาการอักเสบและช่วยรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส พบว่าคนเป็นโรคนี้จะมีปริมาณ สังกะสี ในเลือดน้อยกว่าคนทั่วไป จากการทดลองให้ธาตุ สังกะสี ไปพบว่า อาการดีขึ้นมากในเรื่องข้อต่อต่างๆ ที่บวม, ข้อแข็งหรือยึดติด

จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของธาตุ สังกะสี มีมากมายต่อร่างกายคนเรา แต่อย่างไรก็ตามในการบริโภค สังกะสี ควรกระทำในขนาดพอดี เหมาะสมแก่วัยและสภาวะ โดยถ้าร่างกายคนเราได้รับปริมาณ สังกะสี ที่มากเกินพอดี จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งโทษของการได้รับ สังกะสี มากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้

1. ภูมิคุ้มกันร่างกายเสื่อม และ สังกะสี ยังขัดขวางไม่ให้ร่างกายใช้ธาตุทองแดงได้เต็มที่เป็นผลให้ระดับทองแดงในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ

2. โดยถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เกินกว่า 2 กรัมขึ้นไป จะเกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแบบเฉียบพลัน ทำให้ปวดท้อง และอาเจียนได้

3. ในกรณีที่บริโภคมากกว่าวันละ 100 มก. เป็นเวลานานจะทำให้ระดับไขมัน HDL (High-density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชั้นดีลดลง

โดยสรุปแล้วถึงแม้ว่า สังกะสี จะเป็นแร่ธาตุกลุ่มที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับแร่ธาตุอื่น แต่ความสำคัญต่อร่างกายมิได้มีเพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด กลับเป็นแร่ธาตุที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการทำงานทุกๆ ระบบของร่างกาย โดยแหล่งอาหารธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง คือ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับ สังกะสี ไม่เพียงพอก็จะก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือโรคต่างๆ ได้มากมาย ในขณะเดียวกันถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เป็นปริมาณที่เกินพอดีก็จะก่อโทษให้กับร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นควรเลือกเดินทางสายกลาง บริโภคอาหารที่ให้แร่ธาตุ สังกะสี ในปริมาณที่พอเพียงเหมาะสมต่อร่างกาย นอกจากจะไม่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับการขาดธาตุสังกะสีแล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

Monday 27 June 2011

เผย 5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้

เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภ
าพตามช่วงอายุ
การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม


วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้


วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หา รับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย


วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย


วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน


สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

ผัก ผลไม้ ที่มีสารล้างพิษ 20 อันดับ

 
คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด
หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ
เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางอย่างก็หาได้ง่าย
แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้ แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสีย
ออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ
สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น
คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง 


20. สาหร่าย 


เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษา
ของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจาก
รังสีที่สะสมในร่างกาย 


ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี
เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น
และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีน
และเกลือแร่ในปริมาณมาก


19. หัวหอม 


ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการ
ก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค
เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่ 


18. มะนาว 


เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับ
น้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น
แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้
และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย 


17. เมล็ดแฟลกซ์ 


ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง
ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น
(... ดูรายละเอียดเพิ่มเติม " เมล็ดแฟลกซ์ " คุณค่าอาหารมากมาย
http://www.baanmaha.com/community/thread31241.html... )


16. กระเจี๊ยบ 


น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจาก
ระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะ
ไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบ
สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้


15. ทับทิม 


ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษา
อาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็น
สารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของ
เชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ
ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้
ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น


14. พืชตระกูลถั่ว 


( เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำ
มีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิด
โรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาล
ในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก


13. ขึ้นฉ่าย 


ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้น
จากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่าย
ยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่
ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน บุหรี่ด้วย 


12. แครอท 


เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene )
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม
ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบ
ทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจ
และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง
และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น


11. มะเขือพวง 


คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก
สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือ
เป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ
และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วน
กว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึม
ไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย)
และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง
จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย 


10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต 


เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก
สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด
นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ ร่างกาย
ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหาร
และมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษ
ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 


9. กระเทียม 


จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย
นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร
และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือด
มีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้
ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป
ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย


8. บลูเบอร์รี่ 


เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์ สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหาร
รักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง
สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ


7. กะหล่ำ 


เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมน
ที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย
ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรีย
และไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม
ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม
เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์
ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย


6. บีตรูต 


ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล
( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติ
ต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง
อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น
จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่า
บีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย 


5. อะโวคาโด 


อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป
ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอล
และป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษ
ที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสีย
จำพวกสารเคมีและโลหะหนัก
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan )
พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน
และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ 


4. ตำลึง 


ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรา
มักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึง
จะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดี
ที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึง
ยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย


3. แอปเปิล 


ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอล
และโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง
นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร
ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้


2. อัลมอนด์ 


เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน
แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง
ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia )
ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )
จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก
สุดท้ายแล้วววว เกือบทุกบ้านมีแน่ๆค่ะ หาง่าย กินง่าย มันก็คือ 


1. กล้วย 


มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร
ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว
หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว
หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก.. ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย